นับตั้งแต่ที่สหรัฐอเมริกาและจีนกำหนดอัตราภาษีตอบโต้กันในสงครามการค้าในระหว่างที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ในปี 2566 จีนได้พยายามกระจายการนำเข้าสินค้าเกษตร เพื่อลดการพึ่งพาสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ มากจนเกินไป และเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารของตนให้มากขึ้นมาตรการเหล่านี้ทำให้จีนอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าในสงครามการค้า หากทรัมป์จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 60% ในการกลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้งในเดือนมกราคมปีหน้า
ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันจีนได้ตอบโต้โดยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 25% เป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสินค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ ถั่วเหลือง เนื้อวัว เนื้อหมู ข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าวฟ่าง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนได้ลดการนำเข้าสินค้าหลักอย่างถั่วหลืองจากสหรัฐฯ จาก 40% เหลือ 18% ในปี 2559 และหันมานำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิล ซึ่งกลายเป็นซัพพลายเออร์ข้าวโพดรายใหญ่ของจีนแทนที่สหรัฐฯ จากข้อมูลของกรมศุลกากรจีนระบุว่า ปี 2566 จีนนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ลดลงเหลือ34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับปี 2565 ที่นำเข้า 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปีนี้ จีนจะลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ลงอีก
สรุปการดำเนินการของจีนในการกระจายแหล่งอุปทานทางการเกษตร กระตุ้นการผลิตในท้องถิ่น และเสริมความมั่นคงด้านอาหาร: ได้ดังนี้
วัน/เดือน/ปี |
การดำเนินการ |
---|---|
5 ส.ค. 2562 |
จีนระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภาษีที่รัฐบาลทรัมป์กำหนด |
16 ม.ค. 2563 | ทรัมป์และหลิวเหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนในขณะนั้น ลงนามข้อตกลงการค้า "ระยะที่ 1" โดยจีนตกลง ที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมูลค่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย |
ปี 2564 | จีนเริ่มทดลองปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองดัดแปรพันธุกรรม (GMO) เชิงพาณิชย์ |
29 เม.ย. 2564 |
จีนออกกฎหมายต่อต้านขยะอาหาร เพื่อป้องกันการสูญเสียธัญพืชอย่างสิ้นเปลือง และห้ามวิดีโอโชว์การกินไม่หยุดและอาหารเหลือมากเกินไป |
4 ก.พ. 2565 | จีนอนุมัติการนำเข้าข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์จากทุกภูมิภาคของรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก |
7 มี.ค. 2565 | ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงประกาศเน้นยำประเด็น ความมั่นคงอาหารของประเทศ เพื่อบรรลุการพึ่งพาตนเองในด้านธัญพืชหลัก |
25 พ.ค. 2565 | จีนอนุมัติการนำเข้าข้าวโพดจากบราซิล |
28 มิ.ย. 2565 |
จีนออกกฎหมายอนุรักษ์ดินเพื่อเพิ่มการผลิตในพื้นที่ที่สำคัญ |
14 เม.ย. 2566 |
จีนลดสัดส่วนแป้งถั่วเหลืองในอาหารสัตว์จาก 14.5% เหลือน้อยกว่า 13% ภายในปี 2568 และส่งเสริมโปรตีนทางเลือก |
4 พ.ค. 2566 | จีนอนุมัติถั่วเหลืองที่ผ่านการปรับแต่งยีน (GE) ครั้งแรก เพื่อเพิ่มผลผลิต ซึ่งพืช GE จะต่างกับพืช GMO โดยจะไม่นำยีนที่แปลกปลอมเข้าไป แต่จะทำการจัดการจีโนมตามธรรมชาติที่มีอยู่แทน |
26 ธ.ค. 2566 | จีนออกใบอนุญาตนำเข้าข้าวโพด GMO จากอาร์เจนตินา 2 สายพันธุ์ |
9 เม.ย. 2567 |
จีนเริ่มแผนเพิ่มผลผลิตธัญพืชให้ได้มากกว่า 50 ล้านตันภายในปี 2573 โดยในปี 2566 ผลิตได้ 645.41 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด |
9 พ.ค. 2567 | จีนอนุมัติความปลอดภัยของข้าวสาลีที่ผ่านการปรับแต่งยีน (GE) |
28 พ.ค. 2567 |
จีนอนุมัติการนำเข้าข้าวโพด GMO จากอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นผู้ส่งออกธัญพืชสำหรับเลี้ยงสัตว์รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก |
3 มิ.ย. 2567 | จีนออกกฎหมายความมั่นคงทางอาหารฉบับแรก เพื่อบรรลุเป้าหมาย “ความพอเพียงอย่างยั่งยืน” |
25 ต.ค. 2567 | จีนเปิดตัวแผนพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ (ปี 2567-2571) เพื่อเพิ่มผลผลิตและความแม่นยำในการทำเกษตรกรรม |
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรของจีนระบุว่า จีนตั้งเป้าที่จะผลิตธัญพืชให้ได้มากกว่า 700 ล้านตันภายในปีนี้ และเพิ่มผลผลิตธัญพืชให้ได้มากกว่า 50 ล้านตันภายในปี 2573 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้าในอนาคต
ที่มา : Reuters สรุปโดย : มกอช.