เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2566 สหภาพเกษตรกรยูเครน ระบุว่า การสูญเสียในภาคธัญพืชและเมล็ดพืชน้ำมันของยูเครนอาจมีมากถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 เนื่องจากต้นทุนการขนส่งสูง รวมถึงการปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิงและปุ๋ย ซึ่งอาจทำให้ภาคเกษตรต้องลดพื้นที่เพาะปลูกในปีหน้าและปีต่อไป
ยูเครนถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารชั้นนำของโลก และภาคเกษตรช่วยสร้างรายได้ให้แก่ยูเครนมาอย่างยาวนาน ก่อนการรุกรานของรัสเซีย ยูเครนขนส่งสินค้าส่วนใหญ่ผ่านท่าเรือในทะเลดำ ซึ่งได้ถูกปิดกั้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้ปัจจุบันศูนย์กลางการส่งออกสินค้าของยูเครนกระจุกตัวอยู่ที่ท่าเรือเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำดานูบและเส้นทางรถไฟไปยังยุโรปตะวันออก ส่งผลกระทบต่อต้นทุนโลจิสติกส์และทำให้ผู้ซื้อเสนอราคารับซื้อจากเกษตรกรต่ำลงไปด้วย นอกจากนี้ยังส่งผลให้ราคานำเข้าเชื้อเพลิง เมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย และอะไหล่สำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สภาเกษตรกรรมยูเครนซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ กล่าวว่า ในปี 2566 ต้นทุนการปลูกข้าวสาลีอยู่ที่ประมาณ 146 ดอลลาร์ต่อตัน โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 102 ดอลลาร์ ขณะเดียวกันต้นทุนการปลูกข้าวโพดต้องใช้เงินจำนวน 149 ดอลลาร์ และสามารถขายได้ในราคา 94 ดอลลาร์เท่านั้น และการปลูกทานตะวันและเรพซีดก็ไม่สามารถทำกำไรได้เช่นกัน ทั้งนี้ มีเพียงถั่วเหลืองที่สามารถให้ผลกำไรแก่เกษตรกร
ไม่เพียงแต่ปัญหาทางการเงินเท่านั้น สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยก็ทำให้พื้นที่เพาะปลูกลดลงอย่างมากในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ นักพยากรณ์อากาศของยูเครน ระบุว่า การที่ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานได้ส่งผลต่อการหว่านพืชฤดูหนาวที่กำลังดำเนินอยู่และพืชที่หว่านไปแล้ว โดยภูมิภาคที่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ ภูมิภาค Odesa, Kherson, Mykolaiv, Kirovohrad, Vinnytsia, Cherkasy, Kharkiv
อนึ่ง ข้อมูลจากกระทรวงเกษตร ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เผยว่า เกษตรกรได้หว่านข้าวสาลีฤดูหนาวไปแล้ว 3.02 ล้านเฮกตาร์ สูงกว่าวันเดียวกันของปีที่แล้ว 0.52 ล้านเฮกตาร์
ที่มา : Reuters สรุปโดย : มกอช.