Nikkei Asia รายงานว่า การเก็บเกี่ยวโนริของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสาหร่ายทะเลที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหารญี่ปุ่น เช่น ข้าวปั้น แตะระดับต่ำสุดในรอบ 51 ปี
โนริเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการแปรรูปจาก Pyropia ซึ่งเป็นสาหร่ายสีแดงสกุลหนึ่ง ปัจจุบันมีผลผลิตที่ตกต่ำโดยมีสาเหตุจากปรากฏการณ์กระแสน้ำสีแดง (Red Tide) หรือขี้ปลาวาฬในทะเลอาริอาเกะ ที่ถือเป็นพื้นที่ผลิตสาหร่ายที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น กระแสน้ำสีแดงนี้เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่ต่ำและอุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูง นอกจากนี้ระดับน้ำที่ต่ำยังนำไปสู่การลดลงของสารอาหารที่สำคัญอย่างไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ส่งผลให้สาหร่ายทะเลเปลี่ยนสีและมีคุณภาพต่ำ และด้วยราคาสาหร่ายที่ขายหน้าฟาร์มของเกษตรกรที่สูงถึง 46% เมื่อเทียบกับปีเก็บเกี่ยวก่อนหน้านี้ ผู้ผลิตสาหร่ายแปรรูปจึงวางแผนที่จะขึ้นราคาขายปลีกของสาหร่ายสำหรับใช้ในครัวเรือนสูงสุดถึง 40%
ข้อมูลจากสภาส่งเสริมธุรกิจสาหร่ายแห่งสมาพันธ์ประมงแห่งชาติญี่ปุ่น ระบุว่า ในปี 2565 ช่วงปีเก็บเกี่ยวสาหร่าย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึง 15 พฤษภาคม ประเทศญี่ปุ่นสามารถผลิตโนริได้ประมาณ 4.8 พันล้านแผ่น ซึ่งลดลงต่ำกว่า 5 พันล้านแผ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยทั่วประเทศต่อแผ่น (19 ซม. x 21 ซม.) อยู่ที่ 17.24 เยน (4.27 บาท) ซึ่งเกิน 17 เยน (4.21 บาท) เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี
ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิต Pyropia รายใหญ่อันดับสามของโลกรองจากจีนและเกาหลีใต้ แม้ว่า การเก็บเกี่ยว Pyropia จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในจีนและเกาหลีใต้ แต่การผลิตในญี่ปุ่นกลับค่อย ๆ ลดลงหลังจากปริมาณการเก็บเกี่ยวสูงสุดที่ 480,000 ตัน (น้ำหนักเปียก) ในปี 1994 โดยการเก็บเกี่ยวได้ลดลงเหลือ 288,000 ตัน ในปี 2020
นอกจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศแล้ว การผลิตสาหร่ายในญี่ปุ่นก็ได้ถูกจำกัดด้วยการขาดแคลนแรงงานเนื่องจากประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นและการใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการทำฟาร์ม Pyropia ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
ที่มา : The Fish Site สรุปโดย : มกอช.