เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2566 กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน 18 แห่ง ได้ยื่นรายงานต่อสำนักงานบริการประมงแห่งชาติด้านการค้าระหว่างประเทศว่า คอสตาริกาได้ละเมิดอนุสัญญาประมงระหว่างประเทศอย่างน้อย 2 ฉบับ และละเมิดต่อกฎหมายของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากไม่สามารถปกป้องประชากรฉลามและกลุ่มปลา Billfish ที่ใกล้สูญพันธ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมีข้อสังเกตว่าเกิดขึ้นหลังจากคอสตาริกาได้เปลี่ยนทิศทางของนโยบายการประมงไปสู่ผลประโยชน์ของการประมงแบบพาณิชย์เป็นหลัก
ผู้อำนวยการเครือข่าย Turtle Island Restoration Network เรียกร้องให้ NMFS นำเสนอข้อเท็จจริงในรายงานกลางปี 2566 และกำหนดมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าประมงมายังสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลคอสตาริการีบดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและรับผิดชอบต่อกิจกรรมการทำประมงที่ผิดกฏหมาย (IUU) ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ พัฒนาแนวทางปฏิบัติตามมาตรการประมงระหว่างประเทศ
แนวทางการจัดการที่กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนได้เรียกร้องแก่รัฐบาลสหรัฐฯ มีดังนี้
ขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนให้คอสตาริกานำมาตรการต่อไปนี้ พร้อมทั้งดำเนินการบันทึกและตรวจสอบ
- ห้ามทำการประมงทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งการทำประมงในเชิงพาณิชย์กับฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าของคอสตาริกา จำนวนของฉลามที่ถูกจับได้โดยบังเอิญจะถูกจำกัดให้อยู่ในระดับของการปกป้องสายพันธุ์ โดยจะมีผลก็ต่อเมื่อมีการจับในปริมาณที่มากเกิน
- ต้องกำหนดขีดจำกัดการจับฉลามที่ไม่ได้อยู่ในรายการใกล้สูญพันธุ์ เพื่อสร้างการประมงที่ยั่งยืน หากเกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้ จะต้องระงับการประมง
- ห้ามใช้สายตกปลาแบบ steel leaders แบบถาวร
- ดำเนินการงดการหาปลาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการจับปลามาฮิ มาฮิได้ต่ำที่สุดและจับปลาฉลามได้สูงที่สุด เพื่อปกป้องปลาฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์
- ส่งเสริมการตกปลาทูน่าครีบเหลืองหรือตกปลาโดยการสนับสนุนจากกองเรือคอสตาริกา เพื่อเป็นการเปลี่ยนวิธีการทำประมงในช่วงระหว่างปิดฤดูกาลหาปลา
ที่มา : Seafood Source สรุปโดย : มกอช.