ในแต่ละปี สหราชอาณาจักรได้รับรายงานปัญหาทารกในครรภ์มีพัฒนาการทางระบบประสาทผิดปกติ ซึ่งมักเกิดจากภาวะหลอดประสาทปิดไม่สนิท (Neural tube defect: NTD) ที่ก่อให้เกิดภาวะกระดูกสันหลังโหว่ (Spina bifida)และภาวะไม่มีกะโหลกศีรษะและไร้สมอง (Anencephaly) เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์เหล่านี้กระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหารและกิจการชนบทของสหราชอาณาจักร (Defra) ได้เปิดรับความเห็นและเสนอให้เพิ่มปริมาณกรดโฟลิก (โฟเลต หรือวิตามินบี 9) ลงในแป้งสำหรับทำขนมปัง เป็น 250 ไมโครกรัม ต่อแป้งปริมาณ 100 กรัม ในระเบียบ Bread and Flour Regulation โดยสหราชอาณาจักรเปิดรับความเห็นถึง23พฤศจิกายน2565นี้
อนึ่ง มีหลายประเทศประสบความสำเร็จในนำนโยบายการเพิ่มกรดโฟลิกลงไปในอาหารและพบว่าอัตราการเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทของทารกในครรภ์นั้นลดลง เช่น ในปี 2541 แคนาดาได้เริ่มบังคับการเสริม กรดโฟลิกในผลิตภัณฑ์ แป้งทุกชนิด เส้นพาสต้าเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์เมล็ดข้าวโพดบดละเอียด ซึ่งต่อมาในปี 2550 มีรายงานว่าพบการเกิดภาวะ NTD ในทารกของแคนาดาลดลง 46%และในออสเตรเลียตั้งแต่มีการประกาศใช้มาตรการเพิ่มกรดโฟลิกลงในแป้งสำหรับทำขนมปังทุกชนิดในปี 2552 ตั้งแต่นั้นมาอัตราการเกิด NTD ของทารกในออสเตรเลียลดลงกว่า 14.4% และนอกจากนี้ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 เป็นต้นไป นิวซีแลนด์เตรียมประกาศบังคับให้แป้งสาลีที่ไม่ใช่ออร์แกนิคสำหรับทำขนมปังจะต้องเสริมกรดโฟลิก เป็นต้น
ที่มา: Foodnavigator สรุปโดย: มกอช.