สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป(สปษ. สหภาพยุโรป) ได้สรุปสถานการณ์ด้านการเกษตรและตลาดสินค้าสัตว์น้ำในสหภาพยุโรปดังนี้
สหภาพยุโรปเป็นผู้ผลิตสินค้าประมงและสัตว์น้ำเพาะเลี้ยงรายใหญ่ มีผลผลิตสัตว์น้ำมากเป็นอันดับ 5 ของโลก หรือประมาณ 6.3 ล้านตัน แบ่งเป็นผลผลิตจากการจับสัตว์น้ำ 5 ล้านตัน และผลผลิตจากการเพาะเลี้ยง 1.3 ล้านตัน โดยในปี 2560 มีมูลค่าการค้าสัตว์น้ำสูงที่สุดในโลกถึง 2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการค้ากับประเทศที่สามมูลค่ากว่า 1,000,000 ล้านบาท และการค้าระหว่างประเทศสมาชิกมูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาท โดยอุปทานรวมของสหภาพยุโรปในปี 2559 มีถึง 14.22 ล้านตัน แต่มีผลผลิตในสหภาพยุโรปเพียง 5.17 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบริโภคภายในประเทศสมาชิก ในขณะที่การส่งออกมีปริมาณเพียง 1.81 ล้านตัน โดยประเทศสมาชิกที่มีการซื้อสินค้าสัตว์น้ำสูงได้แก่ อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส
ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาสหภาพยุโรปขาดดุลการค้าสัตว์น้ำให้กับประเทศที่สามอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีการนำเข้าสัตว์น้ำจากประเทศที่สามถึง 5.9 ล้านตัน มูลค่ากว่า 25,300 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2559 และมีการส่งออกสัตว์น้ำไปยังประเทศที่สามเพียง 1.98 ล้านตัน มูลค่า 5,000 ล้านยูโร เฉพาะในปี 2560 สหภาพยุโรปขาดดุลการค้าสัตว์น้ำให้กับประเทศที่สามถึง 7 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการพึ่งพาตนเองลดลงจาก 42.5% ในปี 2559 เป็น 41.7% ในปี 2560 เนื่องจากการพึ่งพาสินค้าสัตว์น้ำจากประเทศที่สามเพิ่มขึ้น
การนำสัตว์น้ำขึ้นท่าของสหภาพยุโรปในปี 2559 มีปริมาณลดลงจากปีก่อนหน้าจาก 4.6 เหลือ 4.3 ล้านตัน และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของสหภาพยุโรปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงในอัตราคงที่ โดยประเทศสมาชิกที่มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมากที่สุดได้แก่ สเปน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี และกรีซ ส่วนในด้านสัตว์น้ำอินทรีย์การบริโภคในสหภาพยุโรปยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยในปี 2560 ปริมาณการค้าสัตว์น้ำอินทรีย์มี 43,400 ตัน อย่างไรก็ตามสัตว์น้ำอินทรีย์ในสหภาพยุโรปมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมคือ ปลาแซลมอน ปลาเทราท์ ปลาคาร์พ และปลากะพง ในขณะที่มีการนำเข้าสินค้าอินทรีย์ประเภทกุ้ง ปลานิล และปลาสวายจากประเทศที่สาม
ที่มา : สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป สรุปโดย : มกอช.