ในวันที่ 29 มีนาคม 2562 สหราชอาณาจักรมีกำหนดจะถอนตัวอย่างเป็นทางการจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ตามมาตรา 50 ของสนธิสัญญาสหภาพยุโรป (Article 50 of Treaty of European Union) ที่อนุญาตให้รัฐสมาชิกสามารถถอนตัวออกจากสมาชิกสหภาพได้ตามความประสงค์ อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรจะถอนตัวโดยที่ไม่มีการเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปรองรับ เรียกว่า No-Deal Brexit ซึ่งอาจทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์จากสหราชอาณาจักรไปยังสหภาพยุโรปต้องหยุดชะงัก
จากเหตุการณ์ข้างต้น หลายองค์กรได้ออกมาแถลงข้อคิดเห็นต่อผลกระทบและแนวทางการรับมือ No-Deal Brexit ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของสหพันธ์อาหารและเครื่องดื่มของสหราชอาณาจักร (Food and Drink Federation : FDF) ที่เตือนว่า รัฐบาลควรมีการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป เนื่องจากยุโรปเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ รวมทั้งพิจารณาแก้ไขปัญหาหลักการจัดเก็บภาษีศุลกากรที่อาจส่งกระทบต่อผู้ประกอบการที่มีเวลาจำกัดต่อการปรับตัวก่อน Brexit
นอกจากนี้ คณะกรรมการการค้าเกษตรอินทรีย์ (The Organic Trade Board : OTB) และสมาคมหน่วยรับรองผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ (UK Organic Certifiers Group : UKOCG) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรจัดตั้งมาตรการรองรับปัญหาดังกล่าว เพื่อทำให้สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ไปยังประเทศในสหภาพยุโรปได้โดยไม่เกิดการชะงัก
ทั้งนี้ กระทรวงการศึกษา อาหาร และกิจการชนบทของสหราชอาณาจักร(Department of Education, Food and Rural Affairs : DEFRA) ได้ประกาศ Technical Notices ซึ่งเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือกับสถานการณ์ No-Deal Brexit อย่างไรก็ตาม ประธาน UKOCG ให้ความเห็นว่า คำแนะนำดังกล่าว ยังขาดรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว และรัฐบาลควรต้องมีแผนการรับมือ โดย Technical Notice ได้ระบุว่า หน่วยรับรองของสหราชอาณาจักรสามารถรับรองผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์เพื่อจำหน่ายภายในสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่หากจะส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป หน่วยรับรองจะต้องสมัคร จัดทำความเท่าเทียมหรือขอรับรองมาตรฐานที่เทียบเคียงได้กับของสหภาพยุโรป ซึ่งจะเริ่มต้นสมัครก็ต่อเมื่อออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการแล้ว อีกทั้งยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 9 เดือนจนกว่าจะแล้วเสร็จ