เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศ Commission Regulation (EU) 2018/79 เห็นควรปรับปรุงบัญชีรายชื่อสารที่อนุญาตใช้ในการผลิตวัสดุและผลิตภัณฑ์พลาสติกที่อยู่ใน Union list และกำหนดการใช้งานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นไปตามผลการประเมินความปลอดภัยของหน่วยงานความปลอดภัยอาหารของสหภาพยุโรป (EFSA) ดังนี้
1. การอนุญาตใช้สาร (butadiene, styrene, methyl methacrylate, butyl acrylate) copolymer cross-linked with divinylbenzene หรือ 1,3-butanediol dimethacrylate (FCM substance No 856 และ CAS No 25101-28-4) ซึ่งให้ใช้เป็น polymeric additive ที่ระดับ 40% w/w ในวัสดุที่มีส่วนผสมของ styrene acrylonitrile copolymer (SAN/poly(methyl methacrylate) (PMMA)) ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ สำหรับบรรจุอาหารระดับอุณหภูมิห้อง ที่มีลักษณะเป็นน้ำ เป็นกรด หรือมีแอลกฮอล์ต่ำ (<20%) ในระยะเวลาน้อยกว่า 1 วัน หรือสัมผัสกับอาหารแห้งที่มีระยะเวลาจัดเก็บเป็นเวลานาน
2. การอนุญาตใช้สารโมโนเมอร์ 2,4,4’ –trifluorobenzophenone (FCM substance No 1061และ CAS No 80512-44-3) ซึ่งให้ใช้เป็น co-monomer ในระดับไม่เกิน 0.3% w/w ในวัสดุชั้นสุดท้ายในการผลิตพลาสติกที่ทำจาก Polyether ether ketone
3. การอนุญาตใช้สารโมโนเมอร์ 2,3,3,4,4,5,5 -heptafluoro-1-pentene (FCM substance No 1063 และ CAS No 1557-26-8) ซึ่งให้ใช้เป็น co-momomer กับ tetrafluoroethylene และ ethylene ในการผลิต fluorocopolymers เฉพาะเป็นตัวช่วยในการผลิตโพลิเมอร์ในระดับไม่เกิน 0.2% w/w ของ FCM โดยมีเศษ หรืออนุภาคที่มีมวลโมเลกุลต่ำกว่า 1,500 ดัลตัน (Da) ใน fluorocopolymer ไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
4. การอนุญาตใช้สาร tungsten oxide (FCM substance No 1064และ CAS No 39318-18-8) ซึ่งให้ใช้เป็นสารช่วยให้ความร้อนใน polyethylene terephthalate (PET) โดยสารดังกล่าวมีลักษณะไม่ละลาย จึงไม่ต้องมีการตรวจสอบค่าจำกัดการถ่ายเท แต่ในกรณีที่มีการใช้สารในทางเทคนิค หรือใช้กับโพลีเมอร์อื่น ได้กำหนดค่าถ่ายเทไว้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
5. การอนุญาตใช้สารผสม methyl-branched และ linear C14-C18 alknamides จาก fatty acids (FCM substance No 1065 และ CAS No 85711-28-0) ซึ่งให้ใช้ในการผลิต polyolefin สำหรับวัสดุที่สัมผัสอาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่มีไขมัน โดยมีค่าถ่ายเทสูงสุดไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัมของอาหาร
ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 20 วันหลังจากประกาศ (ประกาศ ณ วันที่ 19 มกราคม 2561) โดยจะอนุโลมให้วัสดุหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตก่อนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 สามารถวาจำหน่ายได้ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด