ตามที่สหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบการให้ข้อมูลและการติดฉลาก Regulation (EU) NO.1169/2011 และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2557 ซึ่งกำหนดให้ฉลากอาหารจะต้องแยกประเภทของน้ำมันที่ใช้เป็นส่วนประกอบอย่างชัดเจนว่ามาจากพืชประเภทใด โดยไม่สามารถระบุว่าเป็นเพียง vegetable oil ได้ (เช่น มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก น้ำมันจากเรปซีด หรือน้ำมันปาล์ม เป็นต้น) ทำให้ผู้ผลิตอาหารหลายรายในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและเบลเยียม ที่สนับสนุนนโยบายการรณรงค์ให้ลดหรือเลิกการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตอาหาร เลือกที่จะระบุข้อความบนฉลากว่า “Palm oil free หรือ no palm oil” อย่างไรก็ตาม การระบุข้อความดังกล่าวอาจสร้างความสับสนให้แก่ผู้บริโภค เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสินค้าน้ำมันปาล์มเกี่ยวข้องหรือเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง อาจเป็นการกีดกันอย่างไม่เป็นธรรมกับน้ำมันชนิดอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรระมัดระวังในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อผู้นำเข้าและผู้บริโภค เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ในปี 2556 ไทยส่งออกสินค้าน้ำมันปาล์มไปยังสหภาพยุโรป คิดเป็นมูลค่า 176 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5,632 ล้านบาท) และในปี 2557 จนถึงเดือนกันยายน คิดเป็นมูลค่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,616 ล้านบาท)
ที่มา : สปษ.บรัสเซลส์ สรุปโดย: มกอช.