นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 1/2554 ประจำเดือนม.ค.ว่า คณะกรรมการเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งกองทุนคาร์บอนด้วยรูปแบบกองทุนรวม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงกา-ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) รวมทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนและตลาดคาร์บอนเครดิตได้ง่ายขึ้น กองทุนคาร์บอนเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินหนึ่งในแผนพัฒนาตลาดทุนไทยซึ่งมีเป้าหมายให้มีหลักเกณฑ์รองรับการจัดตั้งในปี 2554
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากพิธีสารเกียวโต กำหนดว่า ภายในปี 2551-2555 ประเทศอุตสาหกรรมต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย 5% จากปริมาณการปล่อยในปี 2533 ส่วนประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่มีพันธกรณี ในการลดก๊าซเรือนกระจก หากให้สัตยาบันพิธีสารเกียวโตแล้ว สามารถดำเนินโครงการ CDM ได้ สำหรับประเทศไทยให้สัตยาบันเมื่อปี 2545 และมีศักยภาพในการดำเนินโครงการ CDM แต่โครงการมีการดำเนินการที่ซับซ้อน ใช้เทคโนโลยีสูง ค่าใช้จ่ายสูงและเป็นเรื่องใหม่สำหรับไทยจึงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน
นายธีระชัย กล่าวว่า กองทุนจะสามารถลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ของกิจการที่ดำเนินโครงการ CDM และซื้อขายปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก (Certified Emission Reduction: CER) ที่เกิดจากโครงการ CDM รวมถึงธุรกรรมอื่น เช่น ค้ำประกัน ให้กู้ยืมเงิน ให้เช่าซื้อหรือลีสซิ่งเครื่องมือเครื่องจักรและให้มีอำนาจร่วมบริหารในกิจการที่ดำเนินโครงการ CDM ได้
นอกจากนี้กองทุนคาร์บอนเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เสี่ยงสูง จึงจะอนุญาตให้ระดมเงินได้เฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้และอาจกำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำไว้ในระดับสูง
ปัจจุบันในไทยมีโครงการที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) 123 โครงการ ในจำนวนนี้ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาดของสหประชาชาติ เพื่อรอการพิจารณาออก CER 40 โครงการและได้รับการรับรองว่าผลิต CER ได้แล้ว 2 โครงการ สำหรับกองทุนคาร์บอนทั่วโลกเมื่อสิ้นปี 2552 มีจำนวน 96 กองทุน มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 15,470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ