TH EN
A A A

ภาคธุรกิจขานรับ ‘ปีทอง’ สินค้าเกษตร

13 กันยายน 2553   
หลังจากที่ประเทศต่างๆ เช่น รัสเซีย ปากีสถาน เวียดนามและจีน เกิดภัยธรรมชาติจนสร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรอย่างมาก จนต้องระงับการส่งออกข้าวในหลายประเทศ โดยเฉพาะรัสเซียที่ระงับการส่งออกข้าวสาลีชั่วคราว รวมถึงปากีสถานผู้ส่งออกข้าวอันดับสามของโลกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในขณะที่ไทยมีแนวโน้มราคาสินค้าทางการเกษตร อาทิ ข้าว น้ำมันปาล์ม มันลำปะหลัง ยางพาราที่สูงขึ้น นายชาญชัย รักษ์ธนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าว คาดว่าปีหน้าราคาส่งออกข้าวไทยอาจจะสูงขึ้นเกินกว่า 400 ดอลลาร์ต่อตัน จากปัจจุบันราคา 380 ดอลลาร์ต่อตัน ในขณะที่นางกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่าราคาข้าวปลายปีอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย ส่วนราคาส่งออกในขณะนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยราคาข้าวไทยต่างจากเวียดนามเพียงตันละ 20 ดอลลาร์ เนื่องจากเวียดนามที่การปรับราคาขึ้น และคู่แข่งอื่นไม่มีข้าวจะขาย แต่คำสั่งซื้อยังไม่มากเพราะผู้ซื้อต่างประเทศยังรอดูสถานการณ์จนกว่าราคาจะนิ่ง อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงเดือนตุลาคมจะมีคำสั่งซื้อเข้ามา นางวิวรรณ บุณยประทีปรัตน์ เลขาธิการสมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย คาดว่าปีนี้ผลผลิตปาล์มจะเพิ่มขึ้น 10% จากเป้าหมายที่กำหนดไว้ 9 ล้านตันเนื่องจากภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ราคายังมีแนวโน้มสูงขึ้น แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงของสต็อก 2 แสนตันและราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มปรับตัวลงก็ตาม เนื่องจากขณะนี้เกิดภัยพิบัติทั่วโลกจึงมีความต้องการอาหารมากขึ้น ประกอบกับมาเลเซียลดกำลังการผลิตในช่วงถือศีลอด ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 22-25 บาทเป็น 27 บาท ขณะที่ราคามันสำปะหลังก็มีแนวโน้มสูงขึ้น นายเสรี เด่นวรลักษณ์ นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า ราคามันสำปะหลังหลังปลายปีนี้จะดีต่อเนื่องเพราะผลผลิตปีนี้ไม่พอต่อความต้องการ และคาดว่าปลายปีนี้ราคาหัวมันสดจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 3 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาการระบาดของเพลี้ยแป้งอยู่ จึงอยากให้ภาครัฐแก้ไขอย่างเร่งด่วน และสนับสนุนให้เกษตรกรแก้ปัญหาโดยใช้แตนเบียนแทนการใช้สารเคมี และควรชาท่อนพันธุ์ก่อนปลูกมันสำปะหลัง เช่นเดียวกับนายหลักชัย กิตติพล นายกสมาคมยางพาราไทย กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนเมษายน 2553 ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะตลาด AFET ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 132 บาท แต่ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่กิโลกรัมละ 106-107 บาท เนื่องจากความต้องการในต่างประเทศมีสูงแต่ผลผลิตมีไม่มาก คาดว่าในปีหน้าราคายางน่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ทำให้จีน อินเดีย สหรัฐฯ ยุโรปมีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

บทความนี้มีประโยน์หรือไม่?