กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลที่ใหญ่ที่สุด โอเชียนา ระบุว่า ความต้องการบริโภคหูฉลามที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบันส่งผลให้จำนวนฉลามทั่วโลกลดลงอย่างมากและทางที่ดีที่สุดสำหรับการอนุรักษ์ฉลาม 8 สายพันธุ์ที่กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ คือการจัดทำข้อกำหนดร่วมกันภายใต้การประชุมของสหประชาชาติในอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) ที่มีตัวแทนจาก 175 ประเทศเข้าร่วมประชุม ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 13-25 มีนาคม 2553 ทั้งนี้ ผู้เข้าประชุมอยู่ระหว่างพิจารณาให้ฉลาม 8 สายพันธุ์อยู่ใน APPENDIX II (รายชื่อสัตว์ที่จะต้องได้รับการอนุญาตเพื่อส่งออก) เพื่อให้แน่ใจว่ามีการทำประมงปลาฉลามอย่างถูกกฎหมายและยั่งยืน
ในรายงานยังระบุว่า ในแต่ละปีจะมีการส่งออกหูฉลามราว 10 ล้านกิโลกรัมจาก 87 ประเทศทั่วโลกไปยังฮ่องกง และข้อมูลจากตลาดหูฉลามพบว่า มีฉลามกว่า 73 ล้านตัวถูกฆ่าต่อปี เพื่อนำครีบมาทำซุปหูฉลามเมนูยอดฮิตจากจีนซึ่งเป็นอาหารที่มีราคาแพงที่สุดในโลก จากแต่ก่อนอาหารชนิดนี้เคยเป็นอาหารสำหรับคนร่ำรวยเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิควิธีจับปลาฉลามให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งชนชั้นกลางในเอเชียที่มีความต้องการบริโภคและมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้ซุปหูฉลามหาทานได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันหูฉลามราคาชามละประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐและหากเป็นหูฉลามจากครีบทั้งชิ้นราคาอาจสูงถึงชามละ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ
ฉลามเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากการจับที่มากเกินไป เพราะเป็นสัตว์ที่เจริญเติบโตเต็มที่ช้า มีลูกน้อย และมีอายุยืน โดยมีข้อมูลรายงานว่าในช่วง 10-20 ปีที่แล้ว มีจำนวนฉลามครีบขาวในแอตแลนติกเหนือลดลง 70% และฉลามหัวค้อนในตะวันตกเฉียงเหนือของแอตแลนติกลดลง 83% ทั้งนี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เปิดเผยว่ามีการจับฉลามในปี 2550 ประมาณ 527,000 ตัน อย่างไรก็ตาม จำนวนเหล่านี้ยังไม่รวมถึงการลักลอบจับปลาฉลามที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน ไร้การควบคุม (IUU) ทำให้กลุ่มโอเชียนาคาดว่าปริมาณฉลามที่ถูกจับจริงอาจมากกว่านี้ถึง 4 เท่า