ขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามกำลังอยู่ระหว่างการร่างพระราชกฤษฎีกาใหม่ กำหนดระเบียบและข้อบังคับด้านการส่งออกข้าว ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2553 ทำให้บริษัทส่งออกข้าวในเวียดนามหลายแห่งอาจไม่สามารถส่งออกข้าวได้ หากขาดอุปกรณ์และเครื่องมือตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ เช่น ผู้ส่งออกจะต้องมีคลังข้าวที่สามารถเก็บข้าวได้ถึง 5,000 ตัน และต้องสีข้าวให้ได้อย่างน้อย 10 ตันต่อ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ผู้ส่vออกข้าวที่ไม่สามารถส่งออกได้ต่อเนื่อง 12 เดือน จะถูกเพิกถอนสิทธิในการส่งออกข้าวเช่นกัน
Nguyen Van Duong ผู้อำนวยการสำนักงานเกษตรและการพัฒนาชนบทจังหวัด Dong Thap และบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ต่างออกมาแสดงการสนับสนุนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เนื่องจาก มีผู้ส่งออกข้าวที่ประกอบธุรกิจแบบฉาบฉวยโดยการขายตัดราคาผู้ส่งออกข้าวรายอื่น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทส่งออกข้าวหลายแห่งที่มีเครื่องมือในกระบวนการผลิตข้าวไม่ครบตามที่ระบุไว้ แต่ยังคงส่งออกข้าวต่อไป โดยหากเกิดภาวะราคาข้าวลดต่ำลงเมื่อใด ผู้ส่งออกเหล่านั้นก็จะเลิกกิจการส่งออกและยกเลิกสัญญาการซื้อขายข้าวของชาวนา
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกข้าวหวังว่าพระราชกฤษฎีกาใหม่นี้จะทำให้การส่งออกข้าวดีขึ้น แต่ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับการมอบอำนาจการตัดสินใจการขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกข้าวให้กับสมาคมอาหารเวียดนาม แทนที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าจะเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยเกรงว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมอาจไม่ได้รับการพิจารณาที่เท่าเทียมกัน หลังจากสมาคมอาหารฯเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์กรณีการจัดสรรโควตาข้าว อย่างไรก็ตาม Nguyen Van Khang ผู้อำนวยการสำนักงานเกษตรและการพัฒนาชนบทจังหวัด Tien Giang กล่าวว่า สมาคมอาหารฯสามารถควบคุมการขึ้นทะเบียนการส่งออกข้าวเพราะ เป็นสมาคมระดับชาติ แต่จะต้องมีกลไกในการสอดส่องดูแลอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม เวียดนามวางแผนที่จะยกเลิกระบบโควตาการส่งออกข้าว และทำให้เป็นไปตามกลไกของตลาดมากขึ้น โดยในปี 2552 เวียดนามส่งออกข้าวได้ 6 ล้านตัน และตั้งเป้าว่าจะสามารถส่งข้าว 6.2 ล้านตันได้ในปี 2553