รายงานประจำปี 2567 ของระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์สำหรับประเทศไทย(Thailand Rapid Alert System for Food and Feed: THRASFF) ระบุว่าอันตรายอันดับแรกที่พบในสินค้าเกษตรและอาหารของผู้บริโภคชาวไทยคือ การตกค้างของ“สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้สดที่ผลิตภายในประเทศ” อันดับสองคือ การตกค้างของ “ยาสัตว์ในปลากะพงขาวนำเข้า” และอันดับสามคือ การตกค้างของ “สารพิษจากเชื้อรา อะฟลาทอกซิน ในถั่วลิสงนำเข้า” ส่วนปัญหาในสินค้าส่งออกของไทยที่ถูกแจ้งเตือนจากประเทศคู่ค้านั้น การตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้สดก็เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งเช่นกัน
รายงานยังระบุว่าผลการสุ่มตรวจสินค้าผักแลผลไม้สด 96 ตัวอย่างจากตลาด พบการตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยถึง 338 รายการ โดยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่สารป้องกันกำจัดแมลงและไร Chlorfenapyr จำนวน 32 รายการ พบในต้นหอม คะน้า กวางตุ้ง สารป้องกันกำจัดเชื้อรา Dithiocarbamates จำนวน 31 รายการ พบในขึ้นฉ่ายและหัวไชเท้า สารป้องกันกำจัดแมลง Acetamiprid จำนวน 17 รายการ พบมากในโหระพา กวางตุ้งและขึ้นฉ่าย สารป้องกันกำจัดเชื้อราDimetomorph จำนวน 16 รายการ พบในโหระพา กะเพราและกวางตุ้ง และสารป้องกันกำจัดแมลง Fipronil จำนวน 11 รายการ พบในส้มสายน้ำผึ้งและคะน้า
เป็นที่น่าสังเกตว่าในรอบปี 2567 สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช Chlorfenapyr ที่ตรวจพบการตกค้างมากทีสุดในผักสดในตลาดภายในประเทศนี้ ไม่ปรากฏในรายงานปี 2566 ของระบบ THRASFF ซึ่งแสดงว่าสารชนิดนี้ได้รับความนิยมจากเกษตรกรที่ปลูกผักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและกว้างขวางภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสารชนิดนี้ใช้ได้ผลกับศัตรูพืชที่ดื้อต่อสารป้องกันกำจัดแมลงและไรชนิดอื่นๆ แต่เนื่องจากมีการใช้อย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ตรวจพบการตกค้างในระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยในสินค้าจำนวนมากที่สุ่มตรวจ
Chlorfenapyr จัดอยู่ในกลุ่ม Pyrroles ซึ่งเป็นกลุ่มของสารป้องกันกำจัดแมลงและไรที่ค่อนข้างใหม่ ออกฤทธิ์โดยขัดขวางการทำงานของไมโตคอนเดรีย ทำให้เซลล์ของแมลงและไรขาดพลังงานและทำให้แมลงและไรตายในที่สุด สารชนิดนี้เป็นอันตรายต่อ มนุษย์ ผึ้ง นก และสัตว์น้ำ โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตถึง 31 รายในปากีสถาน เนื่องจากรับประทานขนม Laddu ที่ปนเปื้อน สาร Chlorfenapyr ซึ่งรายละเอียดระบุว่าเป็นการวางยาพิษในหมู่ญาติที่มีปัญหากัน นอกจากนี้ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากรับประทานสารชนิดนี้ในปริมาณ เพียง 3 - 4 กรัมเพื่อฆ่าตัวตาย
ทางการแพทย์ประเมินว่าอัตราการเสียชีวิตจากการบริโภคสารชนิดนี้โดยตั้งใจนั้นอาจสูงถึง 80% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีสารต้านพิษและไม่มีวิธีการรักษาโดยตรง ทำให้แพทย์ต้องรักษาตามอาการซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด และได้กระตุ้นเตือนให้มีการศึกษาถึงวิธีแก้ไขพิษจากสารนี้โดยเร็ว
ในบางประเทศหรือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป Chlorfenapyr ได้รับอนุญาตให้ใช้ค่อนข้างจำกัด เช่น ในสหรัฐอเมริกาหน่วยงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency) มีความเห็นว่า Chlorfenapyr เป็นสารที่สามารถตกค้างสะสมอยู่ในสภาพแวดล้อมได้อย่างยาวนาน และอาจสะสมจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสิ่งทีมีชีวิตหลายชนิดในธรรมชาติได้ จึงจำกัดการใช้งานโดยอนุญาตให้ใช้กับไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกในโรงเรือน ฝ้ายและพืชอาหารเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ส่วนในสหภาพยุโรปอนุญาตให้ใช้เฉพาะกับไม้ดอกไม้ประดับเช่นกัน และอนุญาตให้ใช้เป็นสารรักษาเนื้อไม้ภายในอาคารเท่านั้น เนื่องจากสามารถตกค้างเป็นเวลานานในสภาพแวดล้อมและมีพิษสูงต่อผึ้ง นก และสัตว์น้ำ แต่ในประเทศไทย Chlorfenapyr ได้รับการขึ้นทะเบียนใช้กับพืชอาหารมากมายหลายชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพดและผักกินใบชนิดต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าหลักวิธีคิดแตกต่างไปจากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งการอนุญาตให้ใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชคำนึงถึงความปลอดภัยของเกษตรกรผู้ใช้สาร ประชาชนผู้บริโภค และผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อมมากกว่าประสิทธิภาพของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแต่เพียงอย่างเดียว ความนิยมของเกษตรกรต่อสาร Chlofenapyr ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนี้จึงควรได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลเสียที่คาดไม่ถึงติดตามมา และควรมีการพิจารณาทบทวนแนวทางการอนุญาตให้ใช้สารนี้ในการผลิตทางการเกษตรโดยใช้ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งมากยิ่งขึ้น
การตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในสินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าผักและผลไม้สดเป็นปัญหาทางด้านความปลอดภัยอาหารอันดับหนึ่งของประเทศมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงแต่อย่างใด ส่งผลกระทบถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในประเทศและความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ สินค้าผักแลผลไม้สดของไทยต้องประสบกับปัญหาการถูกปฏิเสธการนำเข้าหรือถูกแจ้งเตือนจากประเทศคู่ค้าเป็นจำนวนมากเป็นประจำเนื่องจากการตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชหลายหลากชนิด ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ควรได้รับความสนใจและความร่วมมือในการแก้ไขจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของผู้บริโภคและความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก
ที่มา : มกอช.