ความเป็นมา
ในปีพ.ศ. 2551 สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับสำนักงานผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรป ประจำประเทศไทย (EC Delegation) ดำเนินโครงการนำร่องระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์ของอาเซียน (ASEAN Rapid Alert System for Food and Feed : ARASFF) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องมือสำหรับรายงานสถานการณ์กรณีตรวจพบความไม่ปลอดภัยในสินค้าเกษตร อาหาร และอาหารสัตว์ ระหว่างเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ (Competent Authority) เพื่อควบคุม และบริหารจัดการเกี่ยวกับปัญหาความไม่ปลอดภัยในสินค้าเกษตร อาหาร และอาหารสัตว์ ณ ด่านนำเข้า/ส่งออก โดยได้นำต้นแบบมาจากระบบแจ้งเตือนภัยเร่งด่วนด้านความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์ของสหภาพยุโรป (Rapid Alert System for Food and Feed : RASFF) มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับกรอบการดำเนินงานของอาเซียน โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่าย และการดำเนินงาน
ต่อมาในปีพ.ศ. 2554 มกอช. ได้พัฒนาระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์สำหรับประเทศไทย (Thailand Rapid Alert System for Food and Feed : THRASFF) โดยได้นำระบบ ARASFF มาประยุกต์ใช้ภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านความปลอดภัยอาหารของหน่วยงานในประเทศไทย โดยจะครอบคลุมถึงการรายงานปัญหาของสินค้าทั้งนำเข้า สินค้าในตลาด สินค้าตรวจก่อนส่งออก และสินค้าที่ถูกแจ้งเตือนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีหน่วยงานที่เป็นสมาชิกเครือข่ายระดับกรม 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมการข้าว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัยและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ โดยมีสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบและให้บริการ
ระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์คืออะไร ?
คือเครื่องมือสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์ระหว่างหน่วยงานเครือข่าย โดยระบบจะเริ่มทำงานเมื่อหน่วยงานสมาชิกเครือข่ายหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งตรวจพบปัญหาความไม่ปลอดภัยในสินค้าเกษตร อาหารและอาหารสัตว์ ทั้งในสินค้านำเข้า ส่งออก สินค้าที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาด รวมถึงสินค้าตรวจก่อนส่งออกและสินค้าที่ถูกแจ้งเตือนในต่างประเทศ ผู้ประสานงานของหน่วยงานนั้นก็จะทำการแจ้งเตือนผ่านระบบ THRASFF ทั้งนี้เพื่อให้หน่วยงานสมาชิกเครือข่ายอื่น ๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าดังกล่าว ได้รับทราบข้อมูล และดำเนินการควบคุมหรือบริหารความไม่ปลอดภัยเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่สาธารณชนจะได้รับอันตรายจากสินค้านั้น ข้อมูลที่ส่งผ่านระบบได้แก่รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตผล ผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก (ในกรณีที่เป็นสินค้านำเข้า) อันตรายที่ตรวจพบ สถานะการกระจายสินค้า ตลอดจนมาตรการควบคุมที่ดำเนินการไปแล้วทั้งที่เป็นมาตรการบังคับตามกฎหมายและมาตรการสมัครใจของผู้ประกอบการระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์จึงเป็นทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความเสี่ยง (risk management) และสื่อสารความเสี่ยง (risk communication) ไปพร้อม ๆ กัน
ประโยชน์ของระบบ
ประโยชน์ที่แท้จริงของระบบอยู่ที่ข้อมูลของการแจ้งเตือนที่เก็บรวบรวมไว้ในฐานข้อมูลของระบบ เช่น ในสถานการณ์เร่งด่วนข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการแยกแยะ ตรวจติดตามสินค้าและอันตรายของมันว่ายังคงเป็นภัยคุกคามต่อผู้บริโภคอยู่หรือไม่และจะดำเนินมาตรการอะไรที่จะหยุดยั้งมิให้อันตรายไปถึงผู้บริโภคได้ หรือในกรณีที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็สามารถนำข้อมูลมาใช้วางแผนที่จะป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดซ้ำขึ้นอีกเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ขอเสนอสรุปรายงานประจำปี พ.ศ. 2566 ของ THRASFF ให้ทราบดังต่อไปนี้
1. สินค้านำเข้า สินค้านำเข้าที่ถูกตรวจพบว่าไม่ปลอดภัยมากที่สุดคือถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสงที่นำเข้ามาจากประเทศอินเดียและสปป.ลาว โดยตรวจพบสารพิษอะฟลาทอกซินในถั่วลิสงนำเข้าจากประเทศอินเดีย 9 ครั้ง สปป.ลาว 5 ครั้ง รองลงมาคือปลาและผลิตภัณฑ์จากปลาจากประเทศมาเลเซียตรวจพบยาปฏิชีวนะที่ประเทศไทยห้ามใช้ 4 ครั้ง ผักและผลไม้สดตรวจพบสารตกค้างจากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 4 ครั้ง และธัญพืชจากออสเตรเลียที่ตรวจพบสารตกค้างจากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช Chlorpyrifos-methyl ซึ่งประเทศไทยห้ามใช้ 1 ครั้งตามลำดับ นอกจากนี้ยังตรวจพบสารพิษโอคราทอกซิน เอ ในพริกแห้งนำเข้าจากประเทศอินเดียอีก 2 ครั้ง
2. สินค้าในตลาด เป็นข้อมูลจากการสุ่มตรวจสินค้าผักและผลไม้สดตามแผนเฝ้าระวังการแสดงเครื่องหมาย Q ของมกอช. พบว่าสินค้าผักและผลไม้สดในตลาดตรวจพบการตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 21 ชนิด รวม 103 ครั้ง โดยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่พบมาก 6 อันดับแรกได้แก่ Cypermethrin 20 ครั้ง Chlorpyrifos 17 ครั้ง Omethoate 8 ครั้ง และ Ethion Bifenthrin และ Fenobucarb อย่างละ 7 ครั้งตามลำดับ ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าพบสาร Chlorpyrifos ซึ่งเป็นวัตุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 นั้น ตามกฎหมายห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครอง แต่กลับถูกตรวจพบในสินค้าผักและผลไม้สดในตลาดในประเทศเป็นจำนวนมาก
3. สินค้าที่ถูกแจ้งเตือนปลายทาง เป็นการรวบรวมข้อมูลการแจ้งเตือนจากประเทศผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศไทยว่าตรวจพบสินค้าใดบ้างที่ไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งในปี พ.ศ. 2566 พบว่ามีการแจ้งเตือนจากประเทศคู่ค้าของไทยรวมทั้งสิ้น 59 ครั้ง สินค้าผักและผลไม้สดเป็นสินค้าที่ถูกแจ้งเตือนมากที่สุด โดยประเทศผู้นำเข้าตรวจพบการตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 34 ครั้งในจำนวนนี้เป็นสาร Carbendazim ถึง 15 ครั้ง เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค 14 ครั้งซึ่งเป็นเชื้อ Salmonella ถึง 11 ครั้ง และสินค้าขึ้นรา 6 ครั้ง และยังตรวจพบสารพิษอะฟลาทอกซินในถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์ 3 ครั้ง แคดเมียมในผลไม้แช่แข็ง 2 ครั้ง
เมื่อนำข้อมูลการแจ้งเตือนทั้ง 3 รายการ (สินค้านำเข้า สินค้าที่อยู่ในตลาด และสินค้าที่ถูกแจ้งเตือนปลายทาง) มาประมวลและวิเคราะห์ จะเห็นว่าอันตรายที่ตรวจพบและสินค้าที่มีปัญหามากที่สุดคือการตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในสินค้าผักและผลไม้สดที่ผลิตภายในประเทศ รองลงมาคือเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคในผักและผลไม้สดที่ผลิตภายในประเทศ ถัดไปคือสารพิษจากพิษจากเชื้อราในถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
ถึงแม้ข้อมูลที่นำเสนอมานี้ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้นตอของปัญหาความปลอดภัยอาหารของประเทศนั้นอยู่ที่ใดบ้าง ส่วนการดำเนินการเพื่อควบคุมเพื่อแก้ปัญหานั้นเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แต่จะให้หน่วยงานของภาครัฐแก้ปัญหาแต่เพียงฝ่ายเดียวคงทำได้ยากและไม่ทั่วถึงเนื่องจากความไม่ปลอดภัยอาหารเกิดได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตในไร่นา การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา การขนส่ง การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และการวางจำหน่าย ดังนั้นความร่วมมือและรับผิดชอบจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทานจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ปัญหานี้ให้ลุล่วงไป
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก แต่ในขณะเดียวกันสินค้าไทยก็ถูกปฏิเสธการนำเข้าเนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศผู้นำเข้าเป็นอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน และยังมีผู้บริโภคภายในประเทศอีกจำนวนมหาศาลที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน เราจะปล่อยให้สถานการณ์ปัญหานี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไขหรืออย่างไร ?
ที่มา : มกอช. สรุปโดย : มกอช.