TH EN
A A A

7 พืชเศรษฐกิจปลูกหน้าฝนสุดปัง ปลูกง่าย กำไรงาม

12 ธันวาคม 2566    ครั้ง

7 พืชเศรษฐกิจปลูกหน้าฝนสุดปัง ปลูกง่าย กำไรงาม

ประจำเดือนธันวาคม 2566

                    ฤดูกาลสำคัญต่ออุตสาหกรรมการเกษตร โดยเฉพาะในฤดูฝนที่เป็นฤดูสำคัญในการปลูกพืช ถึงแม้ในฤดูนี้อาจจะปลูกพืชง่ายกว่าฤดูอื่นๆ เพราะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำให้ต้องกังวลใจ แต่การปลูกพืชในฤดูนี้ต้องระมัดระวังเรื่องพื้นที่น้ำท่วมขังที่อาจทำให้รากพืชเน่าได้ และยังมีปัญหาอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้ส่งผลเสียต่อการเพาะปลูกเช่นกัน ดังนั้น เราจึงต้องเลือกพืชที่เหมาะสำหรับการปลูกในฤดูฝน ต้องการน้ำปริมาณมาก และทนต่อน้ำขัง เรารวบรวม 7 พืชที่เหมาะสมต่อการปลูกในฤดูฝน และที่สำคัญยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถนำไปต่อยอด ค้าขาย ปลูกง่าย แถมกำไรงามมาให้ดังนี้
1. บวบ


                  บวบ เป็นพืชเศรษฐกิจนิยมทานกันทั่วไป นิยมนำไปประกอบอาหาร และยังขายได้ดีอีกด้วย เนื่องจากบวบเป็นพืชไม้เลื้อยจึงต้องมีการทำค้างเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ตรงสวย ตรงต่อความต้องการของตลาดอีกด้วย
วิธีปลูก:
                  1. ขุดดินลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ห่างกันระยะห่างระหว่างต้น 75×100 เซนติเมตร
                  2. ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วคลุกเคล้าลงในดิน
                  3. หยอดเมล็ดพันธ์ุลงในหลุม หลุมละ 4-5 เมล็ด ฝังให้ลึกลงในดิน 2-4 เซนติเมตร
                  4. กลบดินด้วยดินที่ผสมปุ๋ยคอก รดน้ำให้ชุ่ม สม่ำเสมอทุกวัน
                  5. เมื่อต้นกล้างอก หรืออายุประมาณ 10-15 วัน ให้ถอนแยกต้นอ่อนที่ไม่สมบูรณ์ทิ้งให้เหลือไว้หลุมละ 2 ต้น
                  6. ทำค้างหรือร้านเพื่อให้บวบสามารถเลื้อยเกาะ โดยขึ้นค้างสูงประมาณ 1.5 – 2 เมตร หรือระยะที่สะดวกต่อการเก็บเกี่ยว
                  7. ในระยะออกดอกออกผลควรให้น้ำสม่ำเสมอ ไม่ควรให้บวบขาดน้ำ
                  8. ใส่ปุ๋ยรองก้นเมื่ออายุ 20-30 วัน โดยใส่แบบโรยข้างจากนั้นพรวนดินกลบหลังจากนั้นฉีดพ่นปุ๋ยน้ำชีวภาพทุก 7-15 วัน
                  ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: บวบสามารถเก็บเกี่ยวได้ 45-60 วันหลังจากหยอดเมล็ด เลือกเก็บเฉพาะผลที่อ่อนเพื่อให้ขายได้ดีตามความต้องการของตลาด
                ราคาตลาด: 15-20 บาท/กิโลกรัม
 
2. คะน้า


                  คะน้า เป็นพืชที่ปลูกได้ดีในดินแทบทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนดินทราย ดินเหนียวปนดินร่วน และเป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย จึงได้รับความนิยมในการนำไปรับประทาน เช่น คะน้าหมูกรอบ คะน้าไฟแดง เป็นต้น ทำให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมค้าขายกันทั่วไป
วิธีปลูก:
                 1. ขุดดินลึกประมาณ 15-20 ซม. และผสมปุ๋ยคอกให้เข้ากับดิน ตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน
                 2. หว่านเมล็ดลงในแปลงให้กระจายทั่วทั้งแปลง จากนั้นหว่านดินกลบลงบนแปลง เพื่อเก็บรักษาความชื้นในเมล็ด
                 3. คุมฟางบางๆ และรดน้ำสม่ำเสมอ จนต้นกล้างอกภายใน 7 วัน
                 4. เมื่อครบ 20 วันให้ถอนต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ออก โดยเว้นระยะห่างระว่างต้นประมาณ 10 ซม.
                 5. เมื่อครบ 30 วันให้ถอนแยกต้น โดยเว้นระยะต้น 20 ซม. ต้นคะน้าที่แยกออกมาสามารถนำมาตัดรากและจำหน่ายเป็นยอดผักคะน้าได้ เมื่อครบ 45 วัน สามารถเก็บเกี่ยวต้นเต็มวัยได้
                 ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: สามารถเก็บเกี่ยวได้ 2 ระยะ คือ ระยะ 30 วันจะได้คะน้าต้นอ่อน จากการถอนแยกต้น และ 45 วัน จะได้คะน้าต้นแก้ซึ่งนิยมบริโภคและค้าขาย
                 ราคาตลาด: 20-25 บาท/กิโลกรัม
 
3. กวางตุ้งจีน


                    เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเอเชียกลาง เป็นพืช 2 ฤดูที่สามารถนำมาปลูกในประเทศไทยได้ มีผลผลิตตลอดทั้งปีทำให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย
วิธีปลูก:
                    1. ไถดินลึก 15-20 ซม. หรือขุดดินตากแดดอย่างน้อย 14 วัน เพื่อกำจัดโรคแมลงและวัชพืช
                    2. พรวนดินให้ละเอียด ทำแปลงกว้าง 100-120 ซม.
                    3. นำต้นกล้าที่มีอายุ 15-0 วันมาปลูกลงในหลุมลึก 0.5 ซม. หยอดเมล็ด 5 เมล็ดต่อหลุม ระยะปลูกแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละฤดู กลบเมล็ด รดน้ำให้ชุ่ม
                    4. ให้น้ำแบบสปริงเกอร์ หรือระบบน้ำหยัดสม่ำเสมอ 1-2 ครั้งต่อวัน
                    5. เมื่อครบ 7 วัน กำจัดวัชพืช และถอนต้นแยก 2-3 ต้น และโรยปุ๋ยกลบลงในดิน
                    ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: เก็บเกี่ยวหลังจากหยอดเมล็ด 35 วัน หรือหลังจากย้ายกล้า 20 วัน โดยใช้มีดหรือกรรไกรตัด
                    ราคาตลาด: 20-30 บาท/กิโลกรัม
 
4. หอมแดง


                    เป็นพืชสมุนไพรชนิดนึงที่ได้รับความนิยมในครัวเรือนมาอย่างยาวนาน และถูกจัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดศรีษะเกษ
วิธีปลูก:
                    1. ไถพรวนดินให้ร่วนซุย จากนั้นตากดินไว้ 2-3 วัน จากนั้นย่อยดินให้ร่วนอีกครั้งแล้วยกแปลงให้กว้าง 1-1.5 เมตร
                    2. รดน้ำให้ชุ่มทั่วทั้งแปลง จากนั้นนำพันธ์ุหัวหอมมาปลูกลงแปลง โดยจิ้มลงไปในดินครึ่งหัว
                    3. ใช้ฟางคลุมให้ทั่วทั้งแปลงเพื่อรักษาความชุ่มชื้น จากนั้นรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
                    4. เมื่อครบ 20 วันให้ใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงดิน โดยโรยให้ทั่วทั้งแปลงจากนั้นรดน้ำอีกครั้ง
                    ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อสีของใบเขียวจางลงและเหลือง หรือเก็บได้เมื่อมีอายุ 70-110 วัน ในดูฝน สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุ 45 วัน
                    ราคาตลาด: 55-70 บาท/กิโลกรัม
 
5. พริกหวาน


                    พริกหวาน ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่นำมาทำอาหารได้หลากหลาย และมีสีสันสวยงาม ไม่ว่าจะ หมูผัดพริกหวาน ไก่ย่างบาร์บีคิว เป็นต้น ทำให้เป็นผักที่นิยมขายกันทั่วไปในท้องตลาด และยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย และเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอุ่นๆ
วิธีปลูก:
                    1. พริกหวานสีเขียวปลูกด้วยต้นกล้า โดยใช้ระยะปลูก 50×100 ซม. หรือหากเป็นพริกหวานสีแดง เหลือง ม่วง ควรปลูกในโรงเรือน เนื่องจากมีอายุการเก็บเกี่ยวช้ากว่าสีเขียว
                    2. รดน้ำให้ดินชุ่ม จากนั้นปลูกต้นกล้าควรปลูกกลางแปลงในระยะ 40×50 ซม. ส่วนโคนลึกลงไปเล็กน้อยหลุมละ 2 ต้น
                    3. เมื่อครบ 7 วัน ใส่ปุ๋ยรอบๆโคนต้นระยะห่าง 10 ซม.
                    4. เมื่อครบ 27 วัน หรือในช่วงติดดอก ใส่ปุ๋ยระหว่างแถวอีกครั้ง
                    5. เมื่อครบ 47 วัน และ 67 วัน ใส่ระหว่างร่องทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
                    ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุ 70-130 วัน โดยตัดขั้วผลด้วยมีดแหลมคม ไม่ควรเด็ดด้วยมือ
                    ราคาตลาด: 100-120 บาท/กิโลกรัม
 
6. มะเขือเปราะ


                   เป็นพืชอายุสั้นที่ปลูกได้ในดินทุกชนิด ปลูกได้ตลอดปี และมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาต้นให้ออกผลยาวนานได้เกิน 1 ปี จึงเป็นพืชที่นิยมเพาะปลูกกันโดยทั่วไป
วิธีปลูก:
                  1. เตรียมแปลงปลูกโดยพรวนหน้าดินลึก 15-20 เซนติเมตร ย่อยกินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
                  2. ย้ายต้นกล้าลงบรแปลง รดน้ำทุกวัน จนถึงช่วงติดผล
                  3. เมื่อครบ 7 วันให้ใส่ปุ๋ย โดยโรยให้ห่างจากโคนต้น 2-3 เซนติเมตร และรดน้ำทันที
                  4. หลังจากปลูกครบ 45-60 วันเมื่อเขือเปราะจะทยอยให้ผลผลิต
                  5. หมั่นตัดแต่งกิ่งหรือลำต้นอย่างสม่ำเสมอ และตัดกิ่งที่เคยให้ผลผลิตออก เพื่อให้กิ่งใหม่แตกขึ้นแทน
                  ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: หลังจากปลูกครบ 45-60 วันเมื่อเขือเปราะจะทยอยให้ผลผลิตตลอดทั้งปี สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตที่แก่แล้วนำไปจำหน่ายได้ทันที
                  ราคาตลาด: 18-22 บาท/กิโลกรัม
 
7. ผักชี


                    พืชเศรษฐกิจหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด เพราะเป็นพืชที่ปลูกงาน ปลูกได้ในทุกสภาพดิน เหมาะสำหรับปลูกในช่วงปลายฤดูฝน 
วิธีปลูก: 
                    1. เตรียมแปลงปลูกในแปลงดินด้วยการขุดดินหรือพรวนดินตากแดดไว้ประมาณ 5-7 วัน แล้วทำการพรวนดินเรื่อยๆ เพื่อให้ดินร่วนซุย จากนั้นผสมปุ๋ยคอก และปุ๋ยสดคลุกเคล้าให้เข้ากันทั่วทั้งแปลง
                    2. นำเมล็ดผักชีมาบดออกเป็น 2 ส่วน แล้วนำไปแช่น้ำ  1-3 วัน เพื่อให้ผักชีเจริญเติบโตรวดเร็ว จากนั้นนำไปผึ่งลมจนมีต้นอ่อนงอกออกมา
                    3. รดน้ำให้ทั่วทั้งแปลง จากนั้นหว่านเมล็ดผักชีลงไป คลุมด้วยฟางบางๆ เพื่อป้องกันต้นอ่อนจากแสงแดด
                    4. รดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน พร้อมกำจัดวัชพืชสม่ำเสมอ
                    5. เมื่อผักชีมีการแตกใบควรใส่ปุ่ยหมักเพื่อบำรุงให้ต้นสวยงาม
                    ระยะเวลาในการเก็บผลผลิต: ผักชีสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุ 40-45 วัน ก่อนการเก็บเกี่ยวควรรดน้ำให้ชุ่มทั้งแปลงเพื่อให้ผักชีถอนได้ง่าย และต้นไม่ขาด จากนั้นสะบัดดินออก นำไปล้างน้ำ และคัดใบเหลืองออก มัดเป็นกำพร้อมขายได้ทันที

 

อ้างอิงข้อมูล : https://kasetphan.com/7-industrial-crops-in-rainny-season