TH EN
A A A

ผู้ผลิตยางในอาเซียนเตรียมรับมือ EU deforestation regulation

1 December 2566   

                    อุตสาหกรรมยางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย 30,000 รายในกัมพูชาไปจนถึงผู้ส่งออกรายใหญ่ในประเทศไทยและมาเลเซีย ต้องเผชิญกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่มุ่งเป้าไปที่การควบคุมการตัดไม้ทำลายป่า

                    กฎระเบียบว่าด้วยการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ได้กำหนดสินค้าเป้าหมาย 7 ชนิด รวมถึงยางพารา โดยห้ามนำเข้าสินค้าจากพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่าหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเหล่านี้จะต้องจัดเตรียมข้อมูลที่ตรวจสอบได้เกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของตน บริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็กจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ EUDR ภายในเดือนธันวาคม 2567 และภายในเดือนมิถุนายน 2568 ตามลำดับ
                    EUDR ทำให้นักวิจารณ์มองว่าข้อกำหนดดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทรายใหญ่ที่มีทรัพยากรมากกว่า เช่นเดียวกับมาเลเซียที่กังวลว่าอุตสาหกรรมการส่งออกยางของประเทศที่มีมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17% ของผลิตภัณฑ์ยางที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปจะได้รับผลกระทบ และเกษตรกรผู้ปลูกสวนยางและผู้ปลูกน้ำมันปาล์มในมาเลเซียได้ยื่นคำร้องต่อสหภาพยุโรปว่าข้อเรียกร้องที่กำหนดไว้ใน EUDR นั้นไม่สมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์ต่อสหภาพยุโรปเพียงฝ่ายเดียว 
                    ขณะที่ประเทศไทยหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกยางชั้นนำของโลก ได้เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบใหม่นี้ โดยได้จัดตั้งแพลตฟอร์มระดับชาติเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรมากกว่า 5 ล้านคนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดการตรวจสอบย้อนกลับให้ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งประมาณ 95% ของอุตสาหกรรมยางในไทยได้ลงทะเบียนในแพลตฟอร์มนี้แล้ว ในส่วนของกัมพูชาซึ่งเป็นผู้ส่งออกสินค้ายางไปเวียดนามเป็นหลัก พบว่า ความคลาดเคลื่อนของการบันทึกข้อมูลทางการค้าได้สร้างความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากในปี 2564 กัมพูชารายงานการส่งออกยางไปยังเวียดนามมูลค่า 289 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามแจ้งว่านำเข้ายางมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบย้อนกลับและความสูญเสียทางเศรษฐกิจสำหรับผู้แปรรูปในท้องถิ่นของกัมพูชา
                    เวียดนามในฐานะผู้ส่งออกยางรายใหญ่ไปยังสหภาพยุโรปต้องเผชิญกับความท้าทายในการปฏิบัติตามกฏระเบียบนี้เช่นกัน เนื่องจากยางที่มาจากกัมพูชาและลาวเมื่อเข้าสู่เวียดนามจะถูกผสมกับยางในท้องถิ่น ทำให้การตรวจสอบย้อนกลับนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
                    อย่างไรก็ตาม มีการวิจารณ์ว่า EUDR อาจไม่พิจารณาความซับซ้อนที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมจากการค้าขายข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่ทำธุรกรรมเงินสด นอกจากนี้ ผู้ผลิตรายใหญ่และรายย่อยต่างแสดงความกังวลว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และสร้างความตึงเครียดทางการเงินให้กับผู้ผลิตนั้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นขณะที่ราคายางนั้นซบเซา 
                    ถึงแม้จะมีความท้าทายจากอุปสรรคเหล่านี้แต่ผู้ผลิตบางรายเชื่อว่ายังมีโอกาสสำหรับข้อกำหนดความยั่งยืนที่เข้มงวดมากขึ้น โดยผู้ผลิตหวังว่าสิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่และส่งเสริมผลิตภัณฑ์การแปรรูปและการผลิตผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมยางที่ยั่งยืนมากขึ้น

 

ที่มา : lesprom สรุปโดย : มกอช.

Is this article useful?