เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมได้ตระหนักถึงความสำคัญของสวัสดิภาพและความพึงพอใจของลูกโคนม โดยเฉพาะในช่วงหย่านม การศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าวัวมีแนวโน้มที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ แต่ก็ยังไม่ทราบผลการศึกษาที่แน่ชัด และในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิจัยพยายามที่จะระบุให้แน่ชัดว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับลูกวัวมีอิทธิพลต่อระดับความเป็นอยู่ที่ดีของลูกวัวอย่างไร โดยสังเกตพฤติกรรมของพวกมันภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุม หัวหน้าทีมวิจัย อธิบายว่า การระบุอารมณ์และความรู้สึกของวัวสามารถทำได้โดยการสังเกตพฤติกรรมของพวกมัน พฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น การดูดหรือเคี้ยวคอกหรือที่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติในช่วงหลังจากให้อาหารลูกวัว ลูกวัวจะมีความกระตือรือร้นและต้องการการกระตุ้นหลังจากการให้นม ดังนั้นการทำบางอย่างเพิ่มเติม เช่น การแปรงฟันอาจทำให้ลูกวัวสงบลง ลดพฤติกรรมการดูดนมหลังการให้นม และเพิ่มการพักผ่อน
เพื่อศึกษาว่าการสัมผัสของมนุษย์มีผลต่อแนวโน้มที่วัวจะแสดงพฤติกรรมผิดปกติเหล่านี้หรือไม่ ทีมวิจัยจึงได้ทำการสุ่มวัวพันธุ์โฮลสไตน์จำนวน 28 ตัว ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 7 สัปดาห์ มีการแบ่งเลี้ยงเดี่ยวและเป็นคู่ โดยกำหนดมาตรฐานการสัมผัสกับมนุษย์รวมถึงการให้อาหารและการตรวจสุขภาพ ซึ่งลูกวัวจะเริ่มหย่านมเมื่ออายุ6สัปดาห์ในช่วง 4 วันที่หย่านม ก็ได้มีการแนะนำให้มีการสัมผัสของมนุษย์ให้มากขึ้นและมีการบันทึกพฤติกรรมของพวกเขาอย่างต่อเนื่องผ่านวีดีโอ ในช่วงระยะเวลาการศึกษานี้ ลูกวัวแต่ละตัวจะได้รับการสัมผัสของมนุษย์ตามปกติเป็นเวลา 2 วัน และแบบทดลองอีก 2 วัน ซึ่งในแบบทดลองนั้นพวกมันจะได้รับการเกาคอเพิ่มอีก 5 นาที ด้วยการสัมผัสจากมนุษย์คนที่มันคุ้นเคย
จากการวิเคราะห์คลิปวีดีโอ ทีมวิจัยอ้างว่าการสัมผัสของมนุษย์ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของสัตว์อย่างแน่นอน เนื่องจากการใช้เวลาอยู่กับมนุษย์อีก 5 นาทีจะช่วยลดระยะเวลาของพฤติกรรมการดูดนมของลูกวัวและเพิ่มเวลาในการพักผ่อนหลังอาหาร พฤติกรรมนี้เห็นได้ชัดในลูกวัวที่ถูกเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเข้าสังคมมีความสำคัญไม่เฉพาะกับมนุษย์เท่านั้นแต่มีความสำคัญกับลูกวัวตัวอื่น ๆ ด้วย
ที่มา : New Food สรุปโดย : มกอช.