ฝรั่งเศสต้องการให้สหภาพยุโรปใช้กลยุทธ์อุตสาหกรรม "Made in Europe" เพื่อตอบสนองต่อแผนการอุดหนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ป้องกันไม่ให้บริษัทอุตสาหกรรมออกจากยุโรป และลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอก โดยจะผลักดันประเด็นดังกล่าวในการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป 27 ประเทศ ในวันที่ 9 – 10 กุมภาพันธ์ 2566 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม บนพื้นฐานความกังวลว่ากฎหมายอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ จะสร้างความสนใจต่อผู้ผลิตของสหภาพยุโรปที่อาจได้สิทธิประโยชน์จากการนำเข้าปัจจัยต่างๆ เช่น สารกึ่งตัวนำ (semiconductors) ยา อาหาร จนถึงพลังงาน
ฝรั่งเศสเรียกร้องให้มีมาตรการเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อรักษาบริษัทในยุโรปที่เกี่ยวข้องกับแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน และวัตถุดิบที่สำคัญ โดยระบุว่ากลยุทธ์ "Made in Europe" ควรตั้งอยู่บนเสาหลัก 4 ประการได้แก่
1. ลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกและกำหนดเป้าหมายการผลิตภายในปี 2573 ในภาคส่วนสำคัญซึ่งจะถูกควบคุมโดยกฎหมายของสหภาพยุโรป พร้อมทั้งลดขั้นตอนอนุญาตที่ซับซ้อนและปรับเปลี่ยนกลไกราคาพลังงาน
2. ปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนในการเข้าถึงปัจจัยการผลิต ซึ่งสามารถพิจารณาแนวทางสนับสนุนโดยงบประมาณหรือเครดิตภาษีจากรัฐ เพื่อให้มีความชัดเจนต่อการตัดสินใจขยายการลงทุนธุรกิจทั่วสหภาพ
3. พัฒนาแหล่งทุนสำหรับภาคส่วนที่มีความอ่อนไหว ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่อาจมีสภาวะการแข่งขันไม่ทัดเทียมกัน ตลอดจนถึงการสนับสนุนแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ โดยฝรั่งเศสยังเสนอให้มีการจัดตั้ง "กองทุนฉุกเฉิน" เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการเชิงกลยุทธ์สำหรับอุตสาหกรรมในยุโรปนอกเหนือจากความช่วยเหลือจากรัฐ และ “กองทุนอิสระ” ที่ช่วยเหลือภาคส่วนที่มีความอ่อนไหวสูง
4. ปรับเปลี่ยนมาตรการและนโยบายทางการค้าพร้อมทั้งการพิทักษ์ผลประโยชน์ภายในสหภาพผ่านกลไกต่างๆ
ที่มา : Reuters สรุปโดย : มกอช.