การใช้เคมีเกษตรและยาต้านจุลชีพอย่างไม่เหมาะสมสามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้บริโภค เกษตรกร และสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีเชื้อดื้อยาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขร้ายแรงทั่วโลก (ศึกษาเรื่องเชื้อดื้อยาเพิ่มเติมได้จาก https://warning.acfs.go.th/th/e-magazine/?page=59#book/page1) โดยปัจจุบันสหภาพยุโรปมีความตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวอย่างมาก และล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เตรียมเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์จากฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร 2030 (Farm to Fork strategy) ครอบคลุมการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยของอาหาร มีการตั้งเป้าลดการใช้และความเสี่ยงจากสารกำจัดศัตรูพืช และการขายยาต้านจุลชีพสำหรับฟาร์มปศุสัตว์เเละการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลง50%ภายในปี 2030 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภายุโรปและคณะมนตรียุโรปต่อไป
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยมีการเสนอให้เพิ่มสัดส่วนสินค้าเกษตรอินทรีย์ในท้องตลาด ลดการเคลื่อนย้ายสัตว์มีชีวิตอย่างไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ และช่วยเหลือเกษตรกรในสหภาพตามความจำเป็น ในขณะที่บางองค์กรก็แสดงความกังวลต่อท่าทีไม่ต่อต้านสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมในแผนดังกล่าว และเกษตรกรบางรายระบุว่าทางสหภาพมักตั้งมาตรฐานให้เกษตรกรในภูมิภาคสูงกว่าสำหรับสินค้านำเข้า ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในขณะที่เกษตรกรต้องขายผลผลิตในราคาต่ำ และเกษตรกรเป็นผู้แบกรับปัญหา
หากแผนดังกล่าวและมาตรการในภูมิภาคประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการก็อาจกระทบถึงมาตรการต่อสินค้านำเข้าได้ แนวโน้มนี้อาจทำให้เกษตกรและผู้ประกอบการไทยต้องทบทวนกระบวนการผลิตและการค้าของตนว่าจะยังสามารถนำความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารมาสู่ผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศได้อย่างไรต่อไปในอนาคตอันใกล้ และต้องเร่งปรับตัวเพื่อเตรียมรับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ที่มา : https://www.foodsafetynews.com/ สรุปโดย : มกอช.