ที่ประชุมของรัฐสภาสหภาพยุโรปไม่ประสบความสำเร็จในการออกกฎหมายห้ามไม่ให้มีการนำเข้าเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
ตัวแทนจากประเทศฮังการี ซึ่งทำหน้าประธานสภาสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า ความล้มเหลวของการออกกฎหมายเกิดขึ้นจากข้อขัดแย้งของสมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎให้ติดป้ายเนื้อสัตว์ทุกประเภทที่เกิดจากการโคลนนิ่ง เพื่อให้ผู้บริโภครับทราบ รวมไปถึงผลิตภัณท์จากสัตว์ เช่น นม และเนยที่มาจากสัตว์โคลนนิ่ง ส่วนที่ประชุมอีกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ติดป้ายเฉพาะแค่เนื้อวัวที่เกิดจากโคลนนิ่งเท่านั้น ซึ่งการติดป้ายดังกล่าวจะเป็นการบอกผู้บริโภคให้ตัดสินว่าจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ธรรมดาหรือเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่ง ที่อาจจะมีผลต่อสุขภาพในภายหลัง
ที่ประชุมรัฐสภาสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า หากสหภาพยุโรปออกกฎหมายให้ติดป้ายเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งทุกชนิด จะเท่ากับเป็นการกีดกันทางการค้าจากนานาประเทศที่ส่งเนื้อสัตว์ รวมไปถึงนมและเนยมาขายในยุโรป ซึ่งเวลานี้ประเทศที่ผลิตเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งแล้วส่งมาขายในยุโรปมากที่สุดคือ บราซิล อาร์เจนตินา และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งส่วนมากเป็นเนื้อวัวที่มีการนำเข้ามาขายในยุโรปมากกว่า 300,000-500,000 ตัน จากสหรัฐฯ และอาร์เจนตินา
ประเทศที่ต้องการให้มีการกีดกันการนำเข้าเนื้อวัวหรือเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ มาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในซูเปอร์มาร์เกตในยุโรป เพราะต้องการปกป้องอุตสาหรรมเนื้อสัตว์ภายในประเทศ จึงพยายามให้มีการออกกฎหมายให้ประเทศที่ส่งออกเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งต้องติดป้ายบอกกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ประเภทนี้หรือไม่
คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหภาพยุโรปหรืออีซี ใช้เวลากว่า 3 ปีในการออกกฎหมาย แต่ประเทศที่คัดค้านการออกกฎหมายดังกล่าวต้องการให้มีการทำประชาพิจารณ์ในประเทศสมาชิกว่าประชาชนต้องการให้มีการนำเข้าเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีรายงานการวิจัยของแพทย์ว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนประเทศที่ต้องการให้ออกกฎหมาย เพราะส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการนำกระบวนการโคลนนิ่งสัตว์มาใช้ประโยชน์ในทางการค้า