นำเข้าน้ำมันปาล์ม 3 หมื่นตันจ่อถึงไทยแล้ว คาดไม่เกินสิ้นเดือนนี้ โรงงานกลั่นจัดสรรสมาชิกตามส่วนแบ่งตลาด "มรกต-น้ำมันพืชปทุม-ล่ำสูง"คว้ามากสุด ด้านโรงงานสกัดหยุดซ่อมเครื่องจักรกันยาวเพราะวัตถุดิบออกน้อย แถมแข่งกันซื้อราคาผลปาล์มดิบแตะกก.ละ 10 บาท
นายอนุกูล แต้มประเสริฐ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.)เปิดเผยว่า น้ำมันปาล์ม 30,000 ตัน ที่อคส.สั่งนำเข้า ซึ่งเสนอขายโดยบริษัทจากประเทศสิงคโปร์แต่จะนำเข้าน้ำมันปาล์มแยกไขจากประเทศมาเลเซีย ราคาซื้อตันละ 1,289 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้ได้ลงเรือแล้ว คาดว่าจะส่งถึงประเทศไทยภายในสิ้นเดือนนี้ หลังจากนำเข้ามาแล้วสมาคมโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มจะจัดสรรให้กับสมาชิก คาดว่าสถานการณ์น้ำมันปาล์มปลายเดือนนี้จะคลี่คลาย
ด้านนายอัสนี มาลัมพุช นายกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม กล่าวว่าสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มจะจัดสรรให้กับสมาชิกตามส่วนแบ่งตลาด โดยบริษัทใดมีกำลังผลิตและส่วนแบ่งตลาดมากสุดก็จะได้รับการจัดสรรมากน้อยตามลำดับลงไป
สำหรับสมาชิกโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ประกอบด้วย 8 บริษัทได้แก่ 1.บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บมจ.) จำหน่ายน้ำมันพืชตราหยก 2 บริษัท น้ำมันพืชปทุม จำกัด จำหน่ายน้ำมันพืชตราเกสร และตราดอกไม้ 3.บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) (บมจ.)จำหน่ายน้ำมันพืชตราลีลา 4.บริษัท พาโมลา จำกัด จำหน่ายน้ำมันพืชตราพาโมล่า 5.บริษัท เหล่าธงสิงห์ จำกัด 6.บริษัท มรกตอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (บมจ.)จำหน่ายน้ำมันพืชตรามรกต 7.บริษัท พี.เอส.แปซิฟิก จำกัด 8.บริษัท โอลีน จำกัด โดยบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 3 บริษัทแรกได้แก่ บมจ.มรกตอินดัสตรี 2.บมจ.ล่ำสูง 3.บริษัท น้ำมันพืชปทุมฯ
แหล่งข่าววงการน้ำมันพืช กล่าวว่าขณะนี้บริษัทผลิตน้ำมันพืชทั้ง 8 บริษัทค่อนข้างกังวลกับจำนวนที่ได้รับจัดสรรน้ำมันปาล์มที่นำเข้าครั้งนี้ เพราะจะทำให้ห้างสรรพสินค้า ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว รุมจับจองเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ เพราะเวลานี้สถานการณ์น้ำมันพืชในท้องตลาดค่อนข้างตึงตัว
นายธนารักษ์ พงษ์เภตรา กรรมการผู้จัดการบริษัท ทักษิณปาล์ม (2521) จำกัด กล่าวว่าเวลานี้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มส่วนใหญ่จะหยุดซ่อม ปกติจะเป็นช่วงหยุดซ่อมปรับปรุงเครื่องจักรอยู่แล้วแต่ประมาณ 15 วัน ปีนี้หยุดนาน 1-2 เดือนเพราะขาดแคลนวัตถุดิบ ขณะเดียวกันผลปาล์มสดราคาสูงขึ้นกก.ละ 9-10 บาทแล้ว ซึ่งราคาน้ำเป็นน้ำมันปาล์มดิบกก.ละ 60 บาท หากเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์กก.ละ 72 บาท
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ