จากการประชุมสมาชิกรัฐสภายุโรปที่เมือง Strasbourg ฝรั่งเศส ได้มีมติให้คณะกรรมาธิการยุโรปเร่งเดินหน้าเจรจากรอบการค้าร่วม (FTA) ระหว่างสหภาพยุโรปกับกลุ่มประเทศ Mercosur (บราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย อุรุกวัย และเวเนซูเอลา) เนื่องจากเล็งเห็นว่า หากการเจรจาดังกล่าวลุล่วงไปได้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมการค้าแล้ว ยังเป็นผลดีต่อมิติทางการเมืองระหว่างกันอีกด้วย และคาดว่าจะเป็นกรอบการค้าร่วมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครอบคลุมผู้บริโภคกว่า 700 ล้านคน
ข้อเสนอของสหภาพยุโรปต่อกลุ่ม Mercosur คือการเปิดการค้าเสรีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้แก่สินค้าอุตสาหกรรมภายใต้ระบบโควต้าภาษี (TRQs) และยกเลิกหรือลดอัตราภาษีนำเข้าให้แก่สินค้าเกษตรของกลุ่ม Mercosur รวมถึงสินค้าอ่อนไหว เช่น เนื้อวัว เนื้อสัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์นม และน้ำมันชีวภาพ ภายใต้เงื่อนไขว่ากลุ่ม Mercosur จะต้องให้หลักประกันที่ดีแก่สินค้าเกษตรที่มีการบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของ EU (Geographical Indications: GI) รวมถึงยินดีที่จะเปิดตลาดการบริการทางการค้า (Commercial services) และเปิดตลาดทางการลงทุน โดยจะให้ทางเลือกมากกว่าจากการตกลง ณ เวทีองค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงยินดีที่จะเปิดการจัดซื้อโดยภาครัฐ (public procurement) ซึ่งมีมูลค่ากว่าสองแสนล้านยูโรในด้านอาหาร เครื่องดื่ม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และการบิน ในขณะที่กลุ่ม Mercosur เสนอต่อสหภาพยุโรป ที่จะเปิดตลาดการค้าในภาคสินค้าเกษตรกรรม สินค้าอุตสาหกรรม การลงทุน การบริการ การจัดซื้อโดยภาครัฐ การสื่อสารโทรคมนาคม และการบริการทางการเงิน
ทั้งนี้ จากการพิจารณาสินค้าเป้าหมายของกลุ่ม Mercosur พบว่า มีสินค้าบางรายการที่ตรงกับสินค้าส่งออกของไทย เช่น เนื้อสัตว์ปีก และน้ำตาล ซึ่งหากกลุ่ม Mercosur ได้รับโควต้าพิเศษปลอดภาษีในส่วนนี้ ก็จะส่งผลให้สหภาพยุโรปมีความกระตือรือร้นที่จะพึ่งพาการนำเข้าสินค้ากลุ่มเดียวกันจากประเทศที่สามอื่นๆน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้อำนาจการเจรจาของไทยในสินค้ากลุ่มดังกล่าวลดลงด้วย
ที่มา : สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป
