Steve Sawyer เลขาธิการประจำสภาพลังงานลมสากล (GWEC) คาดว่าจีนจะแซงสหรัฐฯ ขึ้นแท่นผู้นำด้านพลังงานลมภายในปลายปี 2553 จากรายงานก่อนหน้านี้ของ GWEC ระบุว่าในปี 2552 พลังงานลมทั่วโลกขยายตัว 31% จากเดิมกำลังการผลิตไฟฟ้า 37.5 กิ๊กกะวัตต์ เป็น 157.9 กิ๊กกะวัตต์ในปี 2552 โดยหนึ่งในสามของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากจีน โดยจีนเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็นสองเท่าจาก 12.1 กิ๊กกะวัตต์เป็น 25.1 กิ๊กกะวัตต์ ในขณะที่สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 10 กิ๊กกะวัตต์ เป็น 35 กิ๊กกะวัตต์
นอกจากนี้ GWEC ยังคาดการ์ณว่ากำลังการผลิตของจีนจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ภายในปี 2563 จาก 25.1 กิ๊กกะวัตต์ของปี 2552
ทั้งนี้ GWEC และ Greenpeace ระบุว่า จีนเป็นประเทศที่มีตลาดพลังงานลมใหญ่ที่สุดและมีอุตสาหกรรมกังหันลมใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากนี้ ทั้งสององค์กรยังคาดการ์ณว่าพลังงานลมจะสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานโลกได้ 12% ภายในปี 2563 คิดเป็น และเพิ่มเป็น 22% ภายในปี 2573 โดยจะมีกำลังการผลิตพลังงานลมได้ถึง 1,000 กิ๊กกะวัตต์ ภายในปี 2563 ซึ่งจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1.5 พันล้านตัน ในขณะที่ปี 2573 จะมีกำลังการผลิตพลังงานลมได้ถึง 2,300 กิ๊กกะวัตต์ และลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 34 พันล้านตัน
ทั้งนี้ พลังงานลมยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ โดยในปี 2553 มีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 600,000 ตำแหน่ง ทั้งงานทางตรง เช่น การติดตั้งกังหันลม และทางอ้อม โดยปัจจุบันกังหันลม 1 ใน 3 ของทั้งหมดตั้งอยู่ในจีน
ที่มา : China Daily