นายประจวบ สุภิณี ทูตพาณิชย์ไทยประจำกรุงย่างกุ้ง กล่าวว่า พม่า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูภาคการผลิตดังกล่าว หลังการจัดการที่ผิดพลาดมาเป็นเวลาหลายปี และอาจจะกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวชั้นนำอีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ดี การดำเนินการดังกล่าวยังคงเผชิญกับอุปสรรค โดยผู้ประกอบการภายในประเทศมีความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มในระยะใกล้ ในขณะที่การส่งออกข้าวในปีนี้ลดต่ำลง เนื่องจากความล่าช้าในการออกใบอนุญาตส่งออก และการขาดแรงจูงใจจากรัฐบาลสำหรับเกษตรกรในการเพาะปลูกข้าวมากขึ้น โดยจากข้อมูลของบริษัท SGS (พม่า) ซึ่งเป็นผู้สำรวจเอกชน และสหพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรม (FCCI) ระบุว่าในปี 2553 พม่าส่งออกข้าวเพียง 301,984 ตัน เมื่อเทียบกับ 794,800 ตัน ในช่วงเดียวกันของปี 2552
นายประจวบ กล่าวว่า การพัฒนาสาธารณูปโภคด้านการค้า ซึ่งรวมถึงท่าเรือและระบบโลจิสติก อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ครอบคลุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่บังคับใช้ในปีนี้ จะทำให้สามารถมีการดำเนินการส่งออกข้าวได้อย่างราบรื่นมากขึ้น นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ส่งผลให้พม่าได้รับเมล็ดพันธุ์พืช เงินทุน และการวิจัยในการช่วยผลิตข้าว
อนึ่ง พม่าผลิตข้าวเปลือกราว 30 ล้านตันในแต่ละปี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับไทย แต่ไทยส่งออกข้าวถึง 8-10 ล้านตันต่อปี องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เปิดเผยว่า พม่ามีประชากรราว 50 ล้านคน และบริโภคข้าวราวร้อยละ 56 ของข้าวที่ผลิตได้ หรือราว 17-18 ล้านตัน ซึ่งในทางทฤษฎีนั้น ทำให้มีข้าวเปลือกเหลือราว 12 ล้านตัน สำหรับการส่งออกในแต่ละปี ซึ่งเทียบเท่ากับข้าวที่ขัดสีแล้วราว 7 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม พม่าส่งออกข้าวจำนวนมากไปยังบังคลาเทศ ผ่านทางการค้าบริเวณชายแดนที่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ และจากสถิติแสดงว่า มีการส่งออกข้าวออกจากท่าเรือย่างกุ้งเพียง 500,000-800,000 ตันต่อปี
ที่มา : มติชนออนไลน์