เมื่อเร็วนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้ทำหนังสือถึงนายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เพื่อหารือว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำตาลทรายดิบส่งออกไปยังสหรัฐฯ เกินกว่าโควตาที่จัดสรรได้หรือไม่ โดยปริมาณน้ำตาลทรายดิบที่ขอเพิ่มนั้นจะมีผลเฉพาะปี 2553 (1 ตุลาคม 2552-30 กันยายน 2553) เท่านั้น และไม่มีผลผูกพันในปีโควตาถัดไป ต่อมา สอน. จึงได้แจ้งเรื่องดังกล่าวไปยัง บริษัท ไทยซูการ์ มิลเลอร์ จำกัด ในฐานะผู้ประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย และได้ข้อสรุปว่า ไทยพร้อมที่จะจัดสรรปริมาณน้ำตาลทรายดิบให้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยสามารถจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก 50,000 ตัน ซึ่งเดิมนั้นไทยมีโควตาส่งออกน้ำตาลไปยังสรัฐฯ ปีละ 14,000 ตัน โดย US. โควตานี้ไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า แต่ขอให้สหรัฐฯ กำหนดเป็น โควตาถาวร ในปีต่อๆไปด้วย
ในขณะที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กับ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลก็ยังออกมายืนยันว่า น้ำตาลทรายภายในประเทศไม่ขาดแคลน มีการขึ้นงวดประจำสัปดาห์ตามปกติถึง 403,000 กระสอบ จากปัจจุบันที่มีอ้อยเข้าหีบไปแล้วประมาณ 53 ล้านตัน คิดเป็นปริมาณน้ำตาลที่ผลิตได้ 52 ล้านกระสอบ (23 กุมภาพันธ์ 2553) ดังนั้นการจัดสรรโควตา ก.ขายภายในประเทศที่ 21 ล้านกระสอบ จึงเพียงพอต่อความต้องการใช้
ล่าสุดนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงจะเสนอที่ประชุม คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เพื่อขออนุมัติจัดสรรน้ำตาลทรายใช้บริโภคในประเทศ (โควตา ก.) ฉุกเฉินจำนวน 1 ล้านกระสอบ เพื่อมาจัดสรรให้ยี่ปั๊ว บรรเทาปัญหาน้ำตาลตึงตัวก่อนตามมติของคณะกรรมการน้ำตาลทราย (กน.) เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา และยังไม่มีการพิจารณาปรับขึ้นราคา