Additives ประเภท Epoxidised soya bean oil หรือที่เรียกกันว่า ESBO และ Phthalate กำลังเป็นที่สนใจของสาธารณชนในเยอรมัน ซึ่งทั้ง 2 ชนิดถือเป็น plasticizers ซึ่งจะใช้เป็น additive ในพลาสติคเพื่อสร้างคุณสมบัติที่ยืดหดได้ (elastic) ระเบียบของสหภาพยุโรปล่าสุดอนุญาตให้ใช้ได้ 40% ของ ESBO และ Phthalate ใน PVC ที่สัมผัสอาหาร การใช้ที่พบกันบ่อยคือปะเก็น (ส่วนของพลาสติคด้านใน) ในฝาโลหะที่ใช้ปิดขวดหรือภาชนะแก้วเพื่อที่จะให้ฝาปิดแน่นไม่มีอากาศเข้า เนื่องจาก additives เหล่านี้ไม่ใช่เคมีที่อยู่ในพลาสติด ดังนั้นจึงแยกเอาออกจากกันได้ และการที่ plasticers ทั้ง 2 ชนิดเป็นสารประกอบที่ highly lipophylic ดังนั้น จึงสามารถถ่ายเทสู่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเร็วๆ นี้ได้มีการพบ ESBO และ Phthalate ตกค้างในอาหารไขมันสูงประเภทต่างๆ สูง เช่น เพสโต้ ซอสพาสต้า หรือ ทูน่าในน้ำมัน เป็นต้น ระเบียบสหภาพยุโรปที่ 2002/72/EC กำหนดระดับสูงสุดที่อนุญาตให้สารในพลาสติดถ่ายเทสู่อาหารได้ไม่เกิน 60 mg/kg ในกรณีของฝาครอบหรือปะเก็น ซึ่งจะบังคับใช้ตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2549 และระเบียบที่ 2005/79/EC กำหนดไว้ที่ระดับไม่เกิน 30 mg/kg ในอาหารสำหรับทารกและอาหารสำหรับเด็กเล็ก
สถาบันประเมินความเสี่ยงของเยอรมันได้แนะนำว่าวัสดุสัมผัสอาหารที่มีส่วนประกอบของ Phthalate ไม่ควรใช้กับอาหารที่มีไขมันสูง นอกจากนี้ยังแนะนำว่า อาหารที่มีไขมันสูงที่จำหน่ายในตลาดเยอรมันและบรรจุในขวดหรือภาชนะแก้วซึ่งปิดด้วยฝาโลหะควรมีการวิเคราะห์ plasticizers
อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องจากมีการใช้ Phthalate เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง ดังนั้นการพบ Phthalate ในอาหารอาจมาจากสาเหตุอื่นมากกว่ามาจากวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหารก็ได้ เร็วๆนี้ ได้มีการวิเคราะห์พบ Phthalate ในน้ำมันบริโภค ซึ่งอาจจะมาจากการใช้ท่อและแทงค์พลาสติคในกระบวนการแปรรูปและการบรรจุ
วารสารยูโรฟิน
มีนาคม 2006