นาย วิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรมาเลเซีย ได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานขนาด เกรด บรรจุภัณฑ์ และฉลากสำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน มกราคม 2553 โดยกฎระเบียบดังกล่าวครอบคลุมการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรด้านพืช ได้แก่ ผักสด 73 ชนิด ผลไม้สด 56 ชนิด ไม้ตัดดอก 6 ชนิด ถั่ว 2 ชนิด มะพร้าว เมล็ด กาแฟ และลำต้นอ้อย
มาตรฐานบรรจุภัณฑ์ที่ใช้หีบห่อสินค้ามาเลเซียได้กำหนดให้ใช้วัสดุที่สะอาด มีความแข็งแรงสามารถป้องกันการกระแทก บรรจุภัณฑ์ต้องไม่เกิน 30 กิโลกรัม/บรรจุภัณฑ์ กรณีนำบรรจุภัณฑ์เดิมมาใช้ใหม่ ต้องลบหรือถอดฉลากเดิมออกก่อน
ส่วนฉลากสินค้าที่ติดบนบรรจุภัณฑ์ต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 11×7 เซนติเมตร ข้อมูลฉลากต้องมีชื่อที่อยู่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ตัวแทนผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย ชื่อสามัญสินค้า มาตรฐานเกรด ขนาด ประเทศแหล่งกำเนิดสินค้า และน้ำหนักสุทธิ หากเป็นสินค้านำเข้า ต้องพิมพ์ฉลากเป็นภาษามาเลเซียด้วย เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
นอกจากนี้ ในปี 2553 นี้ หากสินค้าไม่ผ่านการตรวจสอบผู้ส่งออกจะถูกแจ้งเตือน แต่หลังจากปี 2554 จะถูกปฏิเสธการนำเข้าทันทีและอาจมีโทษตามกฎหมายมาเลเซีย โดยปรับไม่เกิน 1,000 ริงกิต หรือประมาณ 10,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
กฎระเบียบฉบับใหม่นี้ กระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกผลไม้และผักสด ซึ่งมีมูลค่าส่งออกรวมปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท ทำให้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เพราะสินค้าผักผลไม้สดของไทยที่ส่งออกไปมาเลเซีย มีลักษณะคละเกรดและบรรจุในลังพลาสติก กล่องกระดาษ และถุงพลาสติก ขณะที่สินค้านำเข้าจากออสเตรเลีย จีน และเกาหลี ได้มีการคัดเกรดและบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมอยู่แล้ว
ผู้ประกอบการที่ส่งออกผักผลไม้สดไปยังมาเลเซีย ประมาณ 200 ราย ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ โดยเฉพาะ มะม่วง ทุเรียน มังคุด ลำไย เงาะ มันสำปะหลัง ที่กำลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หากผู้ส่งออกไทยพัฒนามาตรฐานตามเงื่อนไขมาเลเซีย คาดว่า จะส่งออกเพิ่มสูงขึ้นถึง 6,000 ล้านบาทภายในปี 2554