รัฐมนตรีเศรษฐกิจสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และ นาย อนันด์ ชาร์มา รัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย ได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย ในวันที่ 13 สิงหาคม 2552 และจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ซึ่งการตกลงทางการค้าครั้งนี้ อาจจะเพิ่มยอดการค้าระหว่าง อาเซียนกับอินเดียถึง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2559 โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดนำเข้าในอินเดียเป็นอันดับ 4 จากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน
นาง พรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การตกลงการค้าครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จของอาเซียนในการรวมกลุ่มการค้ากับอินเดีย เนื่องจากอินเดีย เป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งได้ทำการค้าเสรีกับอาเซียนไปแล้วก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความตกลงดังกล่าวประเทศสมาชิกอาเซียนและอินเดียจะยกเลิกภาษีนำเข้าของสินค้ากว่าร้อยละ 80 ของสินค้าที่นำเข้าจากอีกฝ่ายภายในช่วงปี 2556-2559 ส่วนสินค้าอ่อนไหวจะลดภาษีเหลือร้อยละ 5 ในปี 2559 โดยมีสินค้าที่ไม่ลดภาษีไม่เกิน 489 รายการ และสินค้าไทยที่คาดว่าจะขยายการส่งออกไปอินเดียได้มากขึ้น คือ อัญมณี และเครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง ผักและพืชประเภทถั่ว อาหารปรุงแต่ง ปลาซาร์ดีนแปรรูป และน้ำผลไม้ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ไทยจะไม่ลดภาษีเพื่อคุ้มครองเกษตรกรในประเทศ อาทิ หอม กระเทียม นม และผลิตภัณฑ์นม เนื้อโค-กระบือแช่เย็นแช่แข็ง เป็นต้น
ทั้งนี้ ไทยจะได้ประโยชน์ในเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการมาก เนื่องจากสามารถใช้วัตถุดิบทั้งจากภายในอาเซียนและอินเดีย โดยการค้าเสรี อาเซียน-อินเดีย จะต่อยอดให้การค้าการส่งออกของไทยไปอินเดีย และช่วยเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดอินเดียได้หลากหลายสินค้ามากขึ้น ซึ่งคาดว่ายอดการค้าไทยกับอินเดียจะสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากความตกลงมีผลบังคับใช้ในปีหน้า